หนังสือพิมพ์มติชนฉบับวันที่ ๑๗ เมษ.๕๐ หน้าการศึกษา มีบทความของอาจารย์ไพฑูรย์ สินลารัตน์ ที่เกษียณจากคณะครุศาสตร์ จุฬาฯ ไปอยู่ ม.ธุรกิจบัณฑิตย์ ชื่อบทความคือ เมื่อเวียดนามเชื่อว่าการศึกษาเปลี่ยนแปลงประเทศได้
เมื่อ ๑๐ ปีที่แล้ว อ.ไพฑูรย์เคยทำวิจัยเรื่องการปฏิรูปการศึกษาของประเทศเวียดนาม บทความนี้เพิ่งเขียนหลังกลับจากการไปศึกษาดูงานเวียดนามเมื่อปลายเดือน มค.๕๐
ประโยคที่ท่านเอามาตั้งเป็นชื่อบทความ ท่านบอกว่าเป็นคำพูดของ Dr.Vu Minh Giang รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยของมหาวิทยาลัยแห่งชาติเวียดนาม และ Dr.Tran Tri Ha อธิบดีกรมอุดมศึกษาของเวียดนาม ท่านยังบอกว่ารัฐธรรมนูญของเวียดนามก็ถือว่าการศึกษาเป็นความสำคัญอย่างสูง (top national priority) เวียดนามจึงลงทุนทางการศึกษามาก
ท่านบอกว่าเวียดนามกำหนดเป้าหมายสำคัญ ๓ ประการของการศึกษาไว้อย่างชัดเจนสิบปีมาแล้วว่า การศึกษาจะต้อง
เมื่อกำหนดเป้าหมายแล้ว เวียดนามก็กำหนดแผนและวิธีปฏิบัติที่จะไปสู่เป้าหมายนั้น โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากรทางการศึกษาเป็นอย่างมาก เช่น
เมื่อมองเพื่อนบ้านแล้วท่านก็ย้อนมามองเมืองไทยของตัวเอง อ.ไพฑูรย์เห็นว่า "ของไทยเราเองยังไม่เชื่อกันอย่างจริงจังว่าการศึกษาจะเปลี่ยนแปลงสังคมได้ เราจึงจัดการศึกษาแบบงาน routine ซึ่งยากที่จะทำให้การศึกษาสามารถนำสังคม หรือเปลี่ยนแปลงประเทศได้"
ท่านอ้างคำพูดของ รศ.ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการขณะนี้ว่า "การปฏิรูปการศึกษาคือการปฏิรูปคนในวงการศึกษา"
อ.ไพฑูรย์จบบทความด้วยการสรุปและตั้งคำถามว่า "นับวันการศึกษาบ้านเรากำลังเดินไปสู่ความไม่เอาไหนมากขึ้นทุกที ทำอย่างไรเราจึงจะทำให้การศึกษาของเรามีความหมายมากขึ้นให้ได้? และใครจะเป็นคนทำ?"
ท่านจบบทความด้วยคำถามไว้แค่นั้น ส่วนผม อ่านแล้วเกิดความคิดและความรู้สึก ดังนี้ครับ
(บันทึกนี้จะมีต่อภายใต้ชื่อบันทึก "การศึกษานั้นแพง แต่ความไม่รู้แพงยิ่งกว่า")
ประเทศไทยไม่ก้าวหน้าเพราะเราชอบของสำเร็จรูป เอามาเป็นผลงานได้เลย ไม่ชอบลงทุนอะไรที่เห็นผลช้า กว่าจะเห็นผลสำเร็จ คนอื่นก็ชุบมือเปิบเอาไปเป็นผลงานเสียนี่ มองกันอย่างนี้ทั้งนักการเมืองและข้าราชการครับ วิสัยทรรศน์มีครับ แต่พอถึงแนวปฏิบัติก็จบด้วยเรื่องผลประโยชน์ส่วนตัว ในศธ.ก็ก้าวไม่พ้นเรื่องอัตรา เรื่องตำแหน่ง เรื่องซี การปฏิรูประบบการศึกษาติดขัดอยู่ที่การกระจายอำนาจและตำแหน่ง
การศึกษาในเมืองไทยยังติดอยู่ในระบบมากๆ และระบบในเมืองไทยก็ชะงักงันมา 40 ปีได้นะครับผมว่า เห็นเวียตนามแล้วสะท้อนใจบ้านเราครับ
การเมืองต้องเข้มแข็งมากๆ จึงจะฟันฝ่าระบบราชการที่เป็นแรงถ่วงอันรุนแรงของการศึกษาชาติไปได้
ครั้นพอจะฝากความหวังกับนักการเมืองไทยก็ ...
มาโนช เมื่อ ส. 21 เม.ย. 2550 @ 01:49 |
สวัสดีครับคุณหมอ
ผมคนหนึ่งล่ะครับที่ไม่ฝากความหวังกับนักการเมือง แต่เป็นคนละเรื่องกับการเสนอความเห็นหรือเรียกร้องให้เขาทำในสิ่งที่เราคิดว่าเขาควรทำ เสนอครับ แต่ถ้าไม่ทำก็รอเสนอคนอื่นต่อไป ไม่หยุดเสนอถ้าเราเห็นว่าทำแล้วมันดี เช่นที่กลุ่มชาวบ้านที่ต้องอยู่กับป่าเสนอกฏหมายป่าชุมชนมาเป็นสิบๆปีแล้ว ไม่ผ่าน ก็ต้องเสนอกันต่อ วันหนึ่งก็ต้องผ่านแน่ ไม่อีก ๕ ปี สิบปี ยี่สิบปี ก็ร้อยปี เพราะมันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
การเมืองเข้มแข็งของนักการเมือง กับการเมืองเข้มแข็งของชาวบ้าน (ภาคประชาชน) อาจไม่ได้ไปด้วยกัน หรือกระทั่งอยู่กันคนละด้าน พอการเมืองภาคประชาชนเข้มแข็งมาก การเมืองของนักการเมืองที่อิงกับโครงสร้างอำนาจตามตัวหนังสือก็กระเทือน กระทั่งต้องล้มกระดาน ตั้งต้นกันใหม่ก็มีบ่อย ไม่ใช่แต่บ้านเรา
คำขวัญคิดเอง ๑ "การเมืองเข้มแข็งได้ด้วยคุณภาพของประชาชนในเมืองนั้น" (ทั้งระดับชาติและระดับท้องถิ่น)
คำขวัญคิดเอง ๒ "คุณภาพของประชาชนในบ้านเมืองใด ขึ้นอยู่กับคุณภาพการศึกษาของบ้านเมืองนั้น" (รวมทั้งเรื่องของโอกาสทางการศึกษาสำหรับทุกคน ทุกรูปแบบ ในระบบ นอกระบบ ตามอัธยาศรัย) อันนี้เป็นการดัดแปลงจากของดิสราเอลี่ที่ว่า "อนาคตของประเทศขึ้นอยู่กับการศึกษาของประชาชน"
แล้วยังคิดเลยจากการเมืองไปเรื่องเศรษฐกิจด้วย เป็นคำขวัญ ๓ "เศรษฐกิจของบ้านเมืองจะเข้มแข็งได้อย่างแท้จริง ขึ้นอยู่กับความเข้มแข็งของเศรษฐกิจชุมชน" ไม่ขึ้นกับความเข้มแข็งของเศรษฐกิจของบางตระกูล บางกลุ่ม หรือบริษัทข้ามชาติที่แข็งมาลงทุน คำว่า "อย่างแท้จริง" จงใจใส่เข้ามาให้เห็นว่าไม่ใช่ "อย่างฉาบฉวย"
แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง (พอประมาณ มีเหตุมีผล และมีภูมิคุ้มกัน) เป็นแนวทางอย่างดีสำหรับนำไปประยุกต์(ปฏิบัติ)เพื่อความเข้มแข็งเศรษฐกิจชุมชน เพียงแต่ว่าแต่ละคน แต่ละแห่งต้องมาตีให้แตกสำหรับตัวเอง ตามบริบทของตัวเองว่า แค่ไหนของและทำกันอย่างจริงจัง สำหรับคนที่เห็นด้วยและเชื่อในแนวทางนี้ (ไม่ใช่พูดตามแฟชั่น) คนชนบทคนเมือง คนไหนก็ทำได้ ระดับปัจเจกก็ทำได้ ระดับชุมชนก็ทำได้ ระดับภูมิภาคก็ได้ ประเทศก็ได้ โลกก็ได้
ผมก็เริ่มทำจากตัวเองและไปสู่ครอบครัวแล้วครับ ชีวิตเริ่มเบาสบายขึ้น (ดูในบันทึกเรื่องการ์ตูนที่ผมเขียนไปหน่อยหนึ่ง)
ประเด็น "ระบบราชการ" ผมเขียนลงตรงนี้แล้วลบออกไปแล้วครับ เกรง g2k จะถูกปิด เพราะแนวคิดที่เสนอรู้สึกจะรุนแรงเกินกว่าที่คนจะรับได้ บันทึกเป็นไฟล์เล็กๆ ไว้เอง
ผมเห็นด้วยกับอาจารย์ สุรเชษฐ ในทุกประเด็นครับ โดยเฉพาะ คุณภาพของประชาชนในบ้านเมืองใด ขึ้นอยู่กับคุณภาพการศึกษาของบ้านเมืองนั้น" สำคัญมากจริงๆ ครับ
ถ้าจะมองย้อนอีกที สังคมที่จะเห็นคุณค่าของการศึกษาก็จะเป็นสังคมที่มีคุณภาพระดับหนึ่ง ซึ่งมีรากมาจากค่านิยมในสังคมเป็นพื้นฐานด้วย เช่น ชาวยิวที่เน้นเรื่องการศึกษา แต่ถ้าสังคมที่ค่านิยมในเรื่องนี้ยังไม่แรงพอ คนที่เป็นหัวหอกหรือกลุ่มแกนนำที่เห็นคุณค่าหากทำไปนานๆ ผมเชื่อว่าชุมชนนั้นๆ ก็จะเปลี่ยนไปได้ในที่สุด