เรียนรู้ชีวิต...จากชีวิต


“ถ้าตกม้าจะทำอย่างไร” ... “ก็ขึ้นใหม่สิ” ... “มีความเป็นห่วงไหมถ้ากิจการโรงเรียนสอนขี่ม้าเกิดประสบปัญหาเรื่องรายรับไม่พอกับรายจ่าย” ... “ห่วงก็ห่วง แต่เราต้องคิดว่าถ้าในชีวิตของเรา...เราทำโครงการอะไรขึ้นมา...ถ้าล้ม...เราก็ต้องลุกขึ้นสู้สิ เราต้องสู้...”
     
      ขณะที่นั่งทำงานได้มีโอกาสชมเรื่องราวในชีวิตของหญิงชราคนหนึ่ง ในรายการ
คนค้นคน วันนี้เป็นตอนที่สองแล้วซึ่งเป็นตอนจบของเรื่อง ชมตอนนี้แล้วทำให้รู้สึกเสียดายที่พลาดชมเมื่อตอนที่แล้ว

      ดิฉันชื่นชอบรายการนี้ เพราะทำให้เราเรียนรู้ลีลาชีวิตของผู้คน....ร่วมชื่นชมกับคุณงามความดีที่เป็นแง่งามของชีวิตของแต่ละคนที่ปรากฏตัวในรายการแต่ละตอน....มีบางชีวิตไม่ได้สะท้อนถึงความงดงาม...แต่เราก็จะได้แง่คิดเตือนตัวเองทุกครั้งที่ชม

      หญิงชราที่ปากฎตัวในวันนี้ชื่อว่า
คุณยายลี อายุ 90 ปีแล้วค่ะ เป็นเจ้าของโรงเรียนสอนขี่ม้า ตั้งอยู่ที่จังหวัดกาญจนบุรี คุณยายจะเปิดรับสอนเด็ก ๆ ที่อยากจะขี่ม้าเป็น ให้รู้จักหลักในการขี่ม้าที่ถูกต้อง คุณยายบอกว่าถ้าคนขี่ม้าเป็น ม้าจะไม่เจ็บ เด็ก ๆ จะถูกสอนให้รู้จักการดูแลม้าที่ตัวเองขี่ด้วยการแปรงขนม้า ที่ถือว่าเป็นการนวดให้เลือดเดินดี ทำให้ม้ามีร่างกายสมบูรณ์ เด็ก ๆ เองจะได้สัมผัสกับม้า รู้สึกได้ถึงความอบอุ่น เห็นม้าเป็นเพื่อนไม่ใช่เป็นแค่สัตว์ และเรียนรู้ว่าการแปรงขนม้า ไม่ใช่เป็นเพียงการทำความสะอาดม้าเท่านั้น คุณยายใช้คำพูดว่า เราต้องนับถือสัตว์ อย่าเห็นเพียงว่ามันเป็นแค่สัตว์

      ผู้ปกครองที่พาลูกหลานมาเรียนรู้การขี่ม้า บอกถึงผลการเรียนรู้ที่ได้รับจากการฝึกขี่ม้านี้ ทำให้เด็กมีความรักสัตว์ ไม่ได้มาขี่ม้าเพราะความสนุกและเห็นม้าเป็นเพียงสัตว์ตัวหนึ่งเท่านั้น แต่มาขี่ม้าเพราะเห็นว่าม้าเป็นเพื่อน นอกจากนั้นยังได้ฝึกความมีระเบียบวินัย ความอดทน ฯลฯ อีกด้วย  
คุณสุมาลี ซึ่งเป็นลูกสาวของคุณยายให้เด็ก ๆ เรียกม้าตัวหนึ่งว่า ป้านิลต้า ในขณะที่สอนให้รู้จักการแปรงขนม้า

      ดิฉันคิดว่านี่เป็นเทคนิคหนึ่งที่การเอ่ยนามทำให้ช่วยสร้างความรู้สึกนับถือและให้เกียรติกันค่ะ....นึกถึงในห้องเรียนของเรา หากคุณครูอยากจะปลูกฝังคุณลักษณะในเรื่องนี้ให้กับลูกศิษย์ของเราบ้าง น่าจะนำไปใช้ได้ สอนให้เด็กเรียกเพื่อนว่า
คุณ.... ตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็ก ๆ จะได้ติดปากและเคยชิน เพื่อลดคำพูดที่เรียกคำหน้านามของเพื่อนว่า ไอ้... หรือ อี.... เผื่อเด็กโตขึ้นจะได้พูดจาไพเราะกว่าที่เราเคยได้ยินในขณะนี้...

      ซึ่งดิฉันเคยมีประสบการณ์เคยได้ยินกลุ่มเด็กหญิงวัยรุ่นที่น่าตาดี ๆ เธอคุยกันบนรถโดยสารแล้วเรียกกันดัง ๆ ว่า
อี.... ใช้สรรพนามว่า มึง... กู.... คุยเสียงดังคับรถโดยไม่สนใจความรู้สึกของคนอื่นที่ได้ยินพวกเธอคุยกัน ซึ่งดิฉันคิดว่าคำเหล่านี้เมื่อโตขึ้น เราก็ใช้กันได้ในบางโอกาส แต่เราไม่ใช้พร่ำเพรื่อในที่สาธารณะและไม่ถูกกับกาลเทศะเช่นนี้ นึกเสียดายที่สาว ๆ กลุ่มนี้มีหน้าตาจิ้มลิ้ม น่ารัก....แต่พออ้าปากพูดเท่านั้นเอง ความรู้สึกที่มีอยู่เดิมกลับกลายเป็นตรงข้ามไปทันที

      กลับมาที่เรื่องของคุณยายอีกครั้ง ภาพของคุณยายที่ต้องใช้ไม้ค้ำยันช่วยในการเดินเมื่อเดินไปเยี่ยมม้าแต่ละตัวในคอก...ภาพที่คุณยายตะโกนสอนเทคนิคการขี่ม้าให้เด็ก ๆ แต่ละคนทั้งที่เป็นภาษาไทย และภาษาอังกฤษ...ภาพที่คุณยายนั่งจ่ายเงินเดือนให้กับคนงานในคอกม้า...ฯลฯ...ทำให้สัมผัสได้ถึงพลังที่มีอยู่ในตัวของคน ๆ นี้ ซึ่งมีอายุถึง
90 ปีแล้วก็ตาม คุณยายมีจิตใจที่เข้มแข็ง อดทน เป็นนักสู้ที่มีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว เห็นได้จาก คำพูดหนึ่งที่คุณยายเล่าให้ฟังว่า มีนายทหารท่านหนึ่งถามคุณยายว่า ถ้าตกม้าจะทำอย่างไร คุณยายตอบว่า ก็ขึ้นใหม่สิ พร้อมกับเสียงหัวเราะที่รู้สึกเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา ๆ คุณยายบอกกับพิธีกรรายการที่ถามว่า มีความเป็นห่วงไหมถ้ากิจการโรงเรียนสอนขี่ม้าเกิดประสบปัญหาเรื่องรายรับไม่พอกับรายจ่าย ซึ่งคุณยายตอบว่า “ห่วงก็ห่วง แต่เราต้องคิดว่าถ้าในชีวิตของเรา...เราทำโครงการอะไรขึ้นมา...ถ้าล้ม...เราก็ต้องลุกขึ้นสู้สิ เราต้องสู้...

      เรื่องราวในชีวิตของคุณยายท่านนี้ ทำให้ดิฉันได้ซาบซึ้งถึงความหมายในการมีชีวิต และการใช้ชีวิตที่เหลืออยู่บนโลกใบนี้อย่างมีคุณค่าและงดงามค่ะ....และนี่เป็นเสน่ห์ของรายการนี้ที่ทำให้ดิฉันคอยติดตามรับชมอยู่เสมอค่ะ...เรียนรู้ชีวิต...จากชีวิต....
หมายเลขบันทึก: 53177เขียนเมื่อ 4 ตุลาคม 2006 00:04 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 16:02 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (6)

ขอบคุณพี่ปวีณามากนะคะ ที่นำเรื่องดีดีที่มีประโยชน์และให้ข้อคิดมาให้ได้อ่านกัน ดูแล้วคุณยายเป็นคนที่มีความมุ่งมั่นและความพยายามสูง การพูดของคุณยายสอนให้ใครหลาย ๆ คนให้เรียนรู้ถึงใจเขาใจเรา อย่างคุณยายเลี้ยงม้าคุณยายก็เอาใจใส่แม้กระทั้งจิตใจของม้า สอนให้เราคิดว่าคนเราเมื่อแพ้แล้วต้องลุกขึ้นสู้ต่อไป ไม่ใช่หยุดอยู่แค่นี้ เพราะถ้าเราหยุดอยู่กับที่ความสำเร็จความฝันที่เราต้องการก็คงต้องหลุดลอยไป

ช่วงนี้หนูกำลังจะสอบปลายภาคเรียนที่1 ค่ะ งานที่อาจารย์สั่งก็เยอะ หนักที่สุดคือโครงงานวิทยาศาสตร์ ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร ตอนแรกรู้สึกท้อมากแต่เมื่อได้อ่านเรื่องนี้แล้วทำให้คิดว่าเราต้องเริ่มทำอะไรได้แล้ว ต้องไม่ท้อต่อให้งานเยอะหรือยากแค่ไหน เราก็ต้องทำให้มันดีและผ่านมันไปให้ได้ ( สู้ ๆ ค่ะ )

  • สวัสดีค่ะน้องวาสนา
  • ปลื้มใจค่ะ....ที่บันทึกนี้สร้างกำลังใจให้น้องได้
  • เอาใจช่วยให้การสอบผ่านพ้นไปได้ด้วยดีนะคะ...สมัยเรียน...พี่ก็ว่าหนักแล้วค่ะ...แต่พอถึงวัยทำงานจะรู้เลยว่าหนักกว่าเยอะ...เพราะเราอยู่บนโลกของการทำงานจริง ๆ แล้ว
  • เก็บเกี่ยวประสบการณ์ในการเรียนไว้เยอะ ๆ นะคะ...จดจำสิ่งเหล่านั้นไว้เป็นพื้นฐานของชีวิตค่ะ...ตอนเรียนเรามักเคร่งเครียดอยู่กับตำหรับตำรา...แต่เมื่อต้องไปทำงานจริง ๆ เรายังต้องพบเจอผู้คนอีกมาก...ความเครียดอันเกิดจากการปฏิสัมพันธ์ของคนนั้นหนักกว่านัก
  • เป็นกำลังใจให้น้องวาสนาเสมอนะคะ

“แต่เราต้องคิดว่าถ้าในชีวิตของเรา...เราทำโครงการอะไรขึ้นมา...ถ้าล้ม...เราก็ต้องลุกขึ้นสู้สิ เราต้องสู้...

เป็นกำลังใจที่ดีมากทีเดียว  ล้มแล้วต้องลุก

ตกมาก็กลับไปขึ้นได้ใหม่

เพราะ  ยังมีพรุ่งนี้ให้เดินเริ่มใหม่

  • ขอบคุณคุณกัลปังหาค่ะ...ที่แวะมาเยี่ยมเยียนกันอยู่เสมอ
  • คนเรานั้นไม่ว่าจะทำอะไร จะทำได้ดีหรือไม่ งานจะสำเร็จแค่ไหน ต้องมี "ใจ" มาก่อนค่ะ
  • คนรอบข้างให้ "กำลังใจ" เราได้เสมอ...แต่คนที่จะสร้างกำลังใจให้กับตัวเราได้ดีที่สุด คือ "ตัวเราเอง" ค่ะ ... เพราะเวลาเรา "ล้ม" หากเราไม่อยาก "ลุก" ใครมาฉุดก็ "ลุก" ไม่ขึ้น
  • "กำลังใจ" ที่เราสร้างให้กับตัวเราเอง จะช่วยให้เรา "ลุก" ขึ้นได้อย่างมั่นคงค่ะ
  • ขอบคุณสำหรับการต่อยอดทางปัญญานะคะ
  • สวัสดีค่ะ อาจารย์
  • กำลังรู้สึกเหนื่อยๆ ล้าๆ อยู่พอดี ได้มาอ่านบันทึกอาจารย์ก็ทำให้เกิดแรงฮึด ขึ้นมาใหม่..อีกครั้ง..ขอบคุณค่ะ
  • .....จะมายิ้มให้กับโลกทุกๆวัน
    กลับมาเก็บเกี่ยวความฝันที่เหือดหาย
    พึ่งแสงตะวันให้ฟื้นคืน ชื่นในใจ
    ทุกเช้าไปตื่นขึ้น...บอกให้รู้ "สู้ด้วยใจ"
  • ขอบคุณคุณนู๋ทิม....ที่แวะมาทักทายกันอีกแล้ว
  • ในบางครั้ง กำลังใจมักเกิดได้....เพราะคนเรามีหลักยึดเหนี่ยว.....รู้ว่าสิ่งที่ทำลงไป....ทำเพื่อใคร...เพื่ออะไร....
  • บางคนทำเพื่อใครสักคน....ลูก...พ่อ-แม่....ครอบครัว....หรือใครสักคน
  • บางคนมีเป้าหมายการกระทำที่ขยายใหญ่ขึ้น....ทำเพื่อชุมชน....สังคม....ประเทศ....หรือมนุษยชาติ
  • คุณยายลี....ทำเพื่อสัตว์เลี้ยงที่คุณยายรัก คือ ม้า....ลึกซึ้งไปกว่านั้น...คุณยายทำเพื่อจรรโลงไว้ซึ่งความเมตตา...เพราะถ้าคุณยายสอนให้คนเราขี่ม้าเป็น ม้าก็จะไม่เจ็บ....คนจะเห็นม้าเป็นเพื่อน ไม่ได้เห็นเป็นเพียงสัตว์ตัวหนึ่ง
  • เด็ก ๆ จะได้รับการปลูกฝังและหล่อหลอมให้เติบโตเป็นคนที่มีจิตใจอ่อนโยน....สัตว์เลี้ยงจะได้รับความเมตตาและความอบอุ่นจากมนุษย์โลก...
  • "รับ" ในขณะที่ "ให้" และ "ให้" ในขณะที่ "รับ"
  • นี่คือความงดงามระหว่างมิตรภาพและความผูกพันระหว่างมนุษย์กับสัตว์โลกค่ะ
  • ขอบคุณสำหรับการต่อยอดทางปัญญาค่ะ
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท