ถ้านิยามขององค์กรคือการที่มีคนตั้งแต่ 2 คนมาร่วมทำงานด้วยกันเพื่อวัตถุประสงค์เดียวกัน
เพราะฉะนั้นถ้าเกิดมีคนตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป การแบ่งหน้าที่งานไม่ว่าจะเป็นแนวระนาบหรือแนวตั้งก็อาจจะเกิดขึ้น และตามนิยามที่สำคัญขององค์กรในอุดมคตินั้น ทุก ๆ คนไม่ว่าจะเป็นผู้บริหาร หรือลูกน้อง ทุกคนเปรียบเสมือน “เพื่อนร่วมงาน” ที่เข้ามาร่วมกันทำงานเพื่อให้องค์กรนั้นดำเนินไปเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ขององค์กรที่ตั้งไว้
แต่ในปัจจุบันเป็นอย่างนั้นหรือไม่???
การทำงานในองค์กรปัจจุบัน หลาย ๆ ครั้งเราจะพบระบบทาส โดยตามหลักการระบบทาสนี้เราได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้ทรงเลิกทาสมาแล้วนานนับร้อยปี
แต่ในปัจจุบัน เมื่อระบบทุนนิยมเริ่มเข้ามา องค์กรทาส เริ่มเกิดขึ้นและแพร่ขยายตัวเข้าปกคลุมสังคมไทยอย่างยากที่จะหลีกเลี่ยงได้
ระบบขององค์กรที่น่าจะเป็นการทำงานเพื่อร่วมมือกันในฐานะเพื่อนร่วมงานที่มีความสุข กับถูกระบบเศรษฐกิจและสังคมบีบบังคับให้เกิดการ สั่งการและควบคุมแบบรวบอำนาจ ทำให้ผู้บริหารหลายคนติดยึดอยู่กับระบบ “นายทาส” โดยมองลูกน้องทุก ๆ คนเปรียบเสมือนกับ “ลูกทาส” ที่เกิดมาเพื่อรับใช้ และรองรับในทุกสรรพสิ่งไม่ว่าจะเป็นงานหรืออารมณ์
และด้วยระบบทุนนิยมนี่เอง ที่เน้นทำให้ “คน” ที่เกิดมาเพื่อดำรงชีวิต ถูกปลูกฝังให้ดำเนินชีวิตเพื่อเสาะแสวงหามาซึ่ง “เงิน” สื่อกลางในการแลกเปลี่ยนทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นปัจจัย 4 ชื่อเสียง เกียรติยศ หรือแม้กระทั่ง “ความสุข” ต้องกล้ำกลืนฝืนทน “ต่อสู้” ทำงานตามระบบทาสนี้ เพื่อให้ดำเนินชีวิตอยู่ได้ในระบบสังคมแบบ “ทุนนิยม”
บางครั้งหลายคนถูกสั่งให้โยกย้ายจากบ้านเกิดเมืองนอน หลายคนถูกสั่งให้ทำในสิ่งที่ฝืนใจตนเอง หลายคนถูกสั่งให้ทำในสิ่งที่ผิด ในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง หลายคนต้องจำใจทำในสิ่งที่ผิดต่อลูกค้าประชาชน หลาย ๆ คนจำยอมทำในสิ่งที่ไร้ค่าแต่สิ่งนั้นนำมาซึ่งสิ่งที่ระบบทุนนิยมเรียกว่า “เงิน”
การดำเนินชีวิตในสังคมปัจจุบันที่ขึ้นอยู่กับปัจจัยที่เรียกว่าเงินนี้คงจะไม่แตกต่างอะไรกับการดำเนินชีวิตในสมัยก่อนเมื่อครั้งที่ยังมีระบบทาสซึ่งชีวิตก็เปรียบเสมือนถูกตีตรวน “ตีตรวนชีวิต” ถูกบังคับด้วยระเบียบ กฎเกณฑ์ ขององค์กรหรือบริษัท ที่สามารถลิขิตชีวิตเราให้เดินไปซ้าย ขวา เดินหน้า หรือถอยหลัง ก็สุดแล้วแต่เขาคนนั้นที่เรียกว่าผู้บริหาร (ชีวิต) ที่เปรียบเสมือนนายทาสยุคปางก่อน กำหนดนโยบายทั้งในด้านบริหารและด้านปฏิบัติ เรียงร้อยผ่านตัวอักษะออกมาเป็นคู่มือการปฏิบัติงาน (Job Description) กำหนดให้การตื่น การเดิน การนั่ง การพูด การหายใจของเรา ให้เป็นไปดังสิ่งที่เขาคิดและวางแผน (Planning) ไว้ เพื่อที่จะนำไปซึ่งความสำเร็จนั่นก็คือ “เงิน” ของแต่ละองค์กรที่จะได้รับ
แต่ในอนาคตถ้าสังคมนี้เดินไปด้วยฐานของวัฒนธรรมไทย (แท้ ๆ) ดังเช่นสมัยปู่ ย่า ตา ยาย ระบบ “สุขนิยม” ก็จะกลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาและแผ่ซ่านเข้าไปในทุกชีวิตและชีวิตของ “คน” ที่เรียกตนเองและถูกเรียกว่า “คนไทย”
จากการทำงานและดำเนินชีวิตเพื่อตัวเลขหนึ่งที่ถูกนักเศรษฐศาสตร์ต่างชาติตั้งชื่อว่า GDP (Gross Domestic Product) ชีวิตเราก็จะเปลี่ยนไป เปลี่ยนไปจาก “ทุกข์” กลายเป็น “สุข”
จากระบบเศรษฐศาสตร์ที่เหมาะสมกับบริบทและวิถีชีวิตไทยที่มีจุดเริ่มต้นจากพระมหากษัตริย์ “ในหลวงของปวงชนชาวไทย” ที่ทรงพระปรีชาสามารถ ที่พระองค์ทรงสร้างระบบเศรษฐศาสตร์ที่เหมาะสมที่สุดกับสังคมไทย “เศรษฐกิจพอเพียง (Sufficiency Economics)” ที่เน้นการเจริญเติบโตทางด้านความสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็น “ความสุขมวลรวม” (GDH : Gross Domestic Happiness) ซึ่งเป็นความสุขแท้ที่ยั่งยืน
ดังนั้น “ระบบเศรษฐกิจพอเพียง” ก็เปรียบเสมือนกับการประกาศเลิกทาสให้กับปวงชนชาวไทยอีกครั้งหนึ่ง
ซึ่งเป็นการเลิกทาสทางความคิดที่ถูกยึดติดกับระบบทุนนิยม ซึ่งทุกคนเกิดมาเพื่อทำงานรับใช้ “นายทาสใส่สูท” ที่เปลี่ยนจากการถูกหวายหรือแส้มาเป็นถือกฎและระเบียบเพื่อให้คุณ (ส่วนใหญ่ให้โทษ) ให้ “ลูกจ้าง (ลูกทาส)” อย่างเรา ๆ ท่าน ๆ
วันนี้ระบบเศรษฐกิจพอเพียง จะทำให้เรา “ลูกทาส” หรือ “ผู้ใช้แรงงาน” หรือคำเรียกใด ๆ ก็ตามกลายเป็น “เพื่อนร่วมงาน” หรือ “เพื่อนร่วมประเทศ” หรือ “เพื่อนร่วมโลก” ที่เกิดมาเพื่อกันและกัน
ไม่มีนาย ไม่มีบ่าว มีเพียงแต่เราและเรา ซึ่งถือได้ว่าเป็น “กัลยาณมิตรร่วมงานและชีวิต” ซึ่งกันและกัน
ปภังกร วงศ์ชิดวรรณ
28 ตุลาคม 2549
มีเพื่อนที่ดีเคยบอกว่า "เมื่อรู้สึกพอ ก็รวยทันที"
อาจารย์เขียนเรื่องทาสหลายครั้ง..ทำให้กลับมานั่งคิดว่า คนที่รู้สึกว่าเป็นทาส ก็จะมองหาความเป็นไท แต่คนที่ไม่คิดว่าตัวเองเป็นทาส ใครยื่นความเป็นไทให้ก็คงตามไปเป็นทาสของคนนั้นอีก (จำนิยายที่อาจารย์เคยเล่าเรื่องการซื้อทาสนั้นได้ค่ะ)
เคยนึกห่วงการวิ่งเข้าสู่การเป็นเหยื่อด้วย บันทึกคุณเลือกหรือใครเลือกนี้ค่ะ
ปัญหาใหญ่ในปัจจุบันคือ คนใช้สมการว่า เงิน=ความสุข และหวังว่ามีเงินมากก็จะมีความสุขมาก ไม่รู้จะใช้การจัดการความรู้แบบไหนจึงจะแก้ไขได้ ตอนนี้ก็เห็นแต่พุทธศาสตร์ทางเดียว KM แบบตะวันตกก็ยังหาเงินตามสมการเดิมอยู่ตลอด
ผมทำงานกับกลุ่มสันติอโศกอยู่ด้วยก็เลยพอมองตรงนี้ออกนิดหน่อย และพยายามขับเคลื่อนชุมชนไปในทางนี้
ตอนนี้เงินกลายเป็นสิ่งเสพติดในชีวิตคนไปเสียแล้ว แก้ไขยากจริงๆ แล้วก็ไม่ใช่แค่เงินนะ ยังมีของใช้ ยานพาหนะ เครี่องมือมือถือ อาหาร ผงชูรส น้ำตาล เหล้า กาแฟ ชา วิตามิน ยาบำรุง การพนัน และอีกร้อยแปด ที่กำลังทำลายความเป็นคนอยู่ในปัจจุบัน จนกลายเป็นทาสแทบจะทุกบริบทของชีวิต น่าเป็นห่วงจริงๆ