จตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูร
บรรดานักวิจัยและนักพัฒนาที่แม่ฮ่องสอนเราคุยกันมากเรื่องของการพัฒนาศักยภาพคน เพื่อก้าวไปสู่การเรียนรู้และสร้างสรรค์ชุมชน แต่ค่อนข้างจะพัฒนายาก อาจเป็นเพราะ พื้นฐานการพัฒนาทางด้านสมองของคนแต่ละคนแตกต่างกัน พอมาเรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับสมองแล้ว ทำให้คิดว่า หากจะพัฒนาคน คงต้องเริ่มที่การพัฒนาสมอง ตั้งแต่ปฏิสนธิในครรภ์มารดา เป็นการลงทุนเพื่อพัฒนาศักยภาพที่คุ้มค่าที่สุด แม้จะใช้เวลาค่อนข้างนาน องค์กรพัฒนาเอกชนแห่งหนึ่งทำงานเกี่ยวกับการพัฒนาเด็กปฐมวัย ให้ความสำคัญเรื่องนี้ ประกอบกับ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมสนใจเป็นทุนเดิม ก็เลยร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และจัดประชุมวงเล็กๆกันภายในอำเภอ เพื่อให้ทุกภาคส่วนเห็นความสำคัญต่อการพัฒนาเด็กปฐมวัย รวมไปถึงการดูแลเด็กตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ตามที่กล่าวมาข้างต้น เวทีเรียนรู้ที่ว่า น่าสนใจ ทุกภาคส่วนที่ได้มาเรียนรู้ร่วมกัน ได้เรียนรู้ความมหัศจรรย์ของสมอง ตรงนี้เองเป็นพื้นฐานให้ ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเด็ก ต้องตระหนัก และเริ่มต้นการพัฒนาสมองของคนรุ่นใหม่ที่จะก้าวมาเป็นสมาชิกในชุมชน ของชาติในอนาคต เรามาเรียนรู้เรื่องของสมองไปพร้อมๆกัน นะครับ
จากข้อความเหล่านี้ เราเชื่อว่า “การออกแบบกระบวนการเรียนรู้ที่เหมาะสมย่อมสามารถช่วยให้เด็กก้าวไปสู่การพัฒนาเต็มศักยภาพของตนเองได้” แต่จะก้าวไปสู่รูปแบบการพัฒนาเด็ก จำเป็นต้องได้รับความร่วมและมือจากทุกส่วนนับตั้งแต่คู่สามีภรรยาที่กำลังวางแผนมีบุตร พ่อแม่ ครอบครัว ชุมชน ตลอดจนบุคลากรองค์กรต่างๆที่เกี่ยวข้อง ว่าจะให้ความสำคัญในเรื่องการพัฒนาเด็กหรือไม่ อย่างไร มองอนาคตพัฒนาการของเด็กอย่างไร เป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายต้องร่วมกันคิดและวางแผนต่อไป
เป็นบทความที่มีข้อมูลครบถ้วนดีมากเลยค่ะ ขอขอบคุณคุณจตุพรที่นำมาเผยแพร่ให้ได้อ่าน เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้เป็นประโยชน์อย่างมากต่อการจัดระบบการพัฒนาเด็ก ทั้งในระดับย่อยเล็กที่สุด คือบ้าน ไปจนถึงระดับประเทศ หากเราผู้ใหญ่คำนึงถึงปัจจัยเหล่านี้อยู่เสมอ ให้ความสมดุลในการส่งเสริมพัฒนา เราคงได้เด็กที่มีความสุขกับการเรียนรู้ สุขภาพกายใจดี รู้จักคุณค่าของตนเอง
ขอบคุณอีกครั้งสำหรับความรู้สึกดีๆที่รู้ว่า ประเทศของเรามีทรัพยากรบุคคลดีๆที่กำลังทำงานเพื่ออนาคตของชาติของเรา คนเมืองแบบดิฉันรู้สึกชื่นชมมากค่ะ อยากได้ทำอะไรแบบนี้บ้างจัง
คุณโอ๋
ผมอยากให้ทุกคนให้ความสนใจ ประเด็นนี้ให้มากครับ ช่วงก่อนผมนั่งฟังรัฐมนตรี เจ้ากระทรวงท่านหนึ่ง พูดคุย เกี่ยวกับ การพัฒนาเด็กปฐมวัย ในศูนย์เด็กเล็ก ก็รู้สึกดีครับ ที่มีผู้ใหญ่ให้ความสนใจ และถูกทิศถูกทางมากขึ้น เข้าใจว่า ประเด็นนี้ เป็นประเด็นสร้างชาติ เลยนะครับ ขอบคุณที่ร่วมแลกเปลี่ยนนะครับ
คุณโอ๋
ยินดีและพร้อมที่จะ ลปรร. ครับ ผมเองก็เรียนรู้ไปพร้อมกับทีมงานที่ทำงานด้วยกันครับ แต่เป็นที่น่าดีใจพอสมควรที่ พื้นที่ที่ผมทำงาน บรรดาคุณครู พ่อแม่เด็ก และ ผดด.(ผู้เลี้ยงดูเด็ก) ให้ความสนใจประเด็นนี้กันมาก เรียกว่าตื่นตัวและรู้ส่าสิ่งนี่เองเป็นพื้นฐานของคนที่เราจะสร้างเขาในอนาคต ทางกลุ่มที่ทำงานด้วยกัน ทำงานกับทุกภาคส่วนเลยครับ ที่เกี่ยวข้อง แม้กระทั่งอบรมพ่อแม่อาสา (เตรียมที่จะเป็นพ่อแม่ในอนาคต) ก็มีประเด็นของ การดูแลระหว่วงตั้งครรภ์ เป้นเรื่องของอาหาร การปฏิบัติตัว จนกระทั่งสร้างสิ่งแวดล้อม ให้แม่ที่ตั้งครรภ์ ที่เราทราบกันดีว่ามีผลต่อลูกในครรภ์ของแม่เอง งานนี้สนุกดีครับ ไว้ผมจะนั่งเขียนบันทึกแลกเปลี่ยนกับคุณโอ๋สม่ำเสมอนะครับ ผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ และอยากที่จะเรียนรู้ครับ เรียนรู้พร้อมกับปฏิบัติจริงในงานพัฒนา ส่วนหนึ่งก็เชื่อมประสานด้วยครับ
คุณธีรวงศ์ ธนิษฐ์เวธน์ เลขาธิการสมาคมไทสร้างสรรค์ เปิดเผยว่า สมาคมไทสร้างสรรค์ ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดโครงการพัฒนาเด็กปฐมวัยในชนบทด้วยการเล่านิทานอ่านหนังสือให้เด็กฟัง ระหว่างปี 2546-2549 ในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก พื้นที่ อำเภอภูเวียง อ.หนองเรือ และกิ่งอำเภอหนองนาคำ จ.ขอนแก่น และทำการประเมินประสิทธิผลการดำเนินงาน 2 ปีแรก พบว่า ครูพี่เลี้ยง 77.9% มีความรู้เกี่ยวกับการเล่านิทานอ่านหนังสือและหนังสือภาพในระดับปานกลาง ซึ่งส่วนใหญ่จะเล่านิทานให้เด็กฟังทุกวัน โดยใช้หนังสือนิทาน 66.3% เล่าปากเปล่า 41.1% เล่านิทานประกอบสื่อ 37.9% ส่วนผู้ปกครองเห็นว่า บุตรหลานช่างสังเกตมากขึ้น กล้าพูดกล้าถาม พูดภาษาไทยหรือภาษากลางได้ชัดขึ้น เด็กเชื่อฟังมากขึ้น อารมณ์ดีขึ้น ส่วนพัฒนาการของเด็ก พบว่า เด็กกลุ่มอายุ 3-6 ขวบ มีการพัฒนาระดับสูง ทางสติปัญญา เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 11.56% เด็กกลุ่มอายุ 1-3 ขวบ มีพัฒนาการทางสติปัญญาเพิ่มขึ้น เฉลี่ย 11.0%
รศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า หลังกิจกรรมการอ่านนิทานให้เด็กฟังดังกล่าว พบว่า ไอคิวของเด็กเพิ่มขึ้น 10 กว่าจุด หรือขึ้นมาอยู่ในระดับปกติคือ 90-100 จึงอยากให้กระทรวงศึกษาธิการขยายโครงการนี้ไปทั่วประเทศ โดยเฉพาะ อบต.จะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการจัดการศึกษาให้กับเด็ก ซึ่งไม่จำเป็นต้องไปแย่งชิงโรงเรียนกับใคร ศธ.ควรซื้อหนังสือดีที่ผ่านการคัดสรรจาก สสส.เข้าห้องสมุดเด็กเล็ก และจัดกิจกรรมการเล่านิทานอ่านหนังสือให้เด็กฟัง ส่วนระดับประถมศึกษาก็ควรจัดกิจกรรมการอ่าน เพื่อสมองของเด็กจะได้พัฒนาอย่างต่อเนื่อง.
มาเพื่อร่วม ลปรร.
ก่อนอื่นเราเชื่อ...ในสมองน้อยๆ ของเขา(เด็กๆ) ก่อนนะคะ
ว่า...เขามี "สมอง" ที่สามารถจะคิด..เท่าเทียม "เรา" ผู้ใหญ่ได้
จากนั้น...ค่อยเอื้ออำนวยให้เขา..ได้เกิดการเรียนรู้...อย่างที่ใคร่รู้...โดยปราศจากการครอบ..
เน้นนะคะ..."เอื้ออำนวย...ไม่ครอบงำ"
เพิ่งรู้ว่า สมอง มหัศจรรย์มากมายเพียงใด ก็คราวนี้
แต่ ..สมองเด็กจะพัฒนาได้ ก็ต้องพึ่งพาปัจจัย
ด้านอาหารและ สภาพแวดล้อมด้วย ..ใช่ไหม
เราคิดว่าสมองจะพัฒนาและมีกระบวนการทำงาน
เพื่อทำให้มนุษย์อย่างพวกเรามีประสิทธิภาพ
ก็ต้องมีอุปกรณ์เสริมดีๆ และ สถานที่ สภาพแวดล้อม
ที่เป็นกองอำนวยการ และมีความพร้อมที่จะสนับสนุน
ไปบำรุงสมองกันดีกว่า....
เห็นด้วยกับข้อมูลที่อ.จตุพรนำเสนอ และจากที่ดิฉันได้ไปศึกษาดูงานเกี่ยวกับ BBL (Brainbased Learning) มีกระบวนการพัฒนาสมองที่น่าสนใจ สมองจะเจริญเติบโตและพัฒนาได้อย่างเต็มศักยภาพนั้นต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่าง อาทิเช่น อาหาร สภาพแวดล้อม การจัดกระบวนการเรียนรู้ของครู ผู้ปกครอง สื่อต่างๆ ซึ่งในปัจจุบันดิฉันเองได้พยายามนำหลักการและแนวคิดของ BBL มาใช้อย่างไม่เป็นทางการ ค่อยๆแทรกซึมและใช้ดนตรีเข้ามาช่วยด้วย เห็นผลชัดเจนค่ะ
ถ้าอยากรู้เพิ่มเติมก็หาซื้อหนังสือที่หนูดีเขียนนะคะ
สุดยอดจริงๆ
ความลึกล้ำของสมองกับความตั้งใจจริงที่ถ่ายทอดออกมา ชื่นใจและชื่นชม จะติดตามต่อไปครับ
สวัสดีค่ะ น้องจตุพร
พี่เคยอ่านหนังสือเลี้ยงลูกให้เป็นคนเก่ง ของ ดร.ชาวญี่ปุ่นคนหนึ่ง (หาหนังสือเล่มนี้ไม่เจอ)เขาบรรยายคล้ายๆอย่างนี้ วิธีการสังเกตว่าเด็กเก่งหรือไม่ให้ดูที่เด็กคนนั้นสามารถทำอะไรได้ด้วยตัวเอง เช่น สามารถสวมเสื้อผ้า รับประทานอาหารได้เอง (อายุประมาณ 1*2 ขวบ) สนใจและมีสมาธิในการทำงาน เช่นเขียน วาดรูป ประดิษฐ์สิ่งของ โดยทำได้สำเร็จและสนใจสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นเวลานานๆ
ดร.คนนี้ ในวัยเด็กอายุเพียง 5 ขวบ เขาสามารถประดิษฐ์เครื่องบินร่อนได้เองค่ะ โดยมีพ่อแม่ให้คำแนะนำแต่ไม่ได้ทำให้ลูก สังเกตดูถ้าเลี้ยงลูกแบบคุณหนู เด็กจะเก่งสู้คนที่พ่อแม่ปล่อยให้เผชิญกับปัญหา แก้ปัญหาเองไม่ได้ เพราะเขาคิดเป็น แก้ปัญหาเป็น เด็กที่พ่อแม่แก้ปัญหาให้ทุกอย่างมักอ่อนแอ ค่ะ
สนใจเรื่องนี้มานานแล้ว และได้ทดลองปฏิบัติจึงแต่งงานมีลูก 2 คน สำหรับลูกอีกคนที่โตสุด
เขาฝากมา ยิ่งแก่ ยิ่งดื้อ แถมขี้บ่นอีกตะหากค่ะ
ความรู้ดี ๆ จ้า