สวัสดีค่ะอาจารย์
ก่อนอื่นต้องบอก ว่า เรื่องทางวิชาการ ทางวิทยาศาสตร์นี้ ดิฉันไม่ได้รู้มากอะไรนะคะ อาศัยเคยอ่านหนังสือมาบ้าง และสนใจในเรื่องภูมิอากาศที่เปลี่ยนไป กับพวกมลภาวะอยู่บ้างเท่านั้นเอง
มีครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว เคยคิดจะไปร่วมกับบริษัทต่างชาติ ทำในเรื่อง Waste Management ค่ะ แต่ศึกษาไประยะหนึ่ง ก็ไม่ได้ทำค่ะ
และดิฉันเองก็เป็นพวกชอบธรรมชาติ ไม่ชอบการใช้ทรัพยากรทุกชนิดอย่างไม่รู้คุณค่าค่ะ
ส่วนเรื่องที่อาจารย์จะมีข้อแลกเปลี่ยนความเห็นในเรื่อง
โลกเคยร้อนมาแล้ว เมื่อโลกกำเนิดขึ้น และกลับมาเย็นในกาลอันเนิ่นนาน แล้วจะกลับมาร้อนอีก มันเป็นภาวะที่ต่างกันอย่างไร
เรื่องนี้ ตามweb site ทางวิทยาศาสตร์ต่างๆและนิตยสาร "Science" จะมีอธิบายไว้อย่างละเอียดค่ะ
แต่สรุปจากข้อมูล ที่มาจาก ที่นี่ ได้คือ
โลกในยุคแรกเป็นของเหลวหนืดร้อน ถูกกระหน่ำชนด้วยอุกกาบาตตลอดเวลา องค์ประกอบซึ่งเป็นธาตุหนัก เช่น เหล็ก และนิเกิล จมตัวลงสู่แก่นกลางของโลก
ขณะที่องค์ประกอบซึ่งเป็นธาตุเบา เช่น ซิลิกอน ลอยตัวขึ้นสู่เปลือกนอก ก๊าซต่างๆ เช่น ไฮโดรเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ พยายามแทรกตัวออกจากพื้นผิว ก๊าซไฮโดรเจนถูกลมสุริยะจากดวงอาทิตย์ทำลายให้แตกเป็นประจุ
ส่วนหนึ่งหลุดหนีออกสู่อวกาศ
อีกส่วนหนึ่งรวมตัวกับออกซิเจนกลายเป็นไอน้ำ
เมื่อโลกเย็นลง เปลือกนอกตกผลึกเป็นของแข็ง ไอน้ำในอากาศควบแน่นเกิดฝน น้ำฝนได้ละลายคาร์บอนไดออกไซด์ลงมาสะสมบนพื้นผิว เกิดทะเลและมหาสมุทร
สองพันล้านปีต่อมาการวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต ได้นำคาร์บอนไดออกไซด์มาผ่านการสังเคราะห์แสง เพื่อสร้างพลังงาน และให้ผลผลิตเป็นก๊าซออกซิเจน ก๊าซออกซิเจนที่ลอยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศชั้นบน แตกตัวและรวมตัวเป็นก๊าซโอโซน
ซึ่งช่วยป้องกันอันตรายจากรังสีอุลตราไวโอเล็ต ทำให้สิ่งมีชีวิตมากขึ้น และปริมาณของออกซิเจนมากขึ้นอีก ออกซิเจนจึงมีบทบาทสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงบนพื้นผิวโลกในเวลาต่อมา
แต่สรุปสำหรับจากตัวดิฉันเอง ตามความเข้าใจ ได้ดังนี้
คือเดิมโลกร้อนมากๆ ต่อมาเย็นลง จึงเกิดสิ่งมีชีวิตขึ้นได้ พื้นผิวของโลกจะมีอุณหภูมิประมาณ 15 องศาเซลเซียส ซึ่งป็นอุณหภูมิที่เหมาะสำหรับการอยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตแต่หลังจากการปฎิวัติอุตสาหกรรม มนุษย์ได้ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซดิ์ และกาซอื่นๆขึ้นสู่บรรยากาศมากขึ้น ทำให้ก๊าซเรือนกระจกมีปริมาณมากขึ้น การดูดกลืนพลังงานความร้อนมีมากขึ้น และก็ปล่อยพลังงานความร้อนกลับมายังโลกมากขึ้นด้วย ทำให้อุณหภูมิบนพื้นผิวโลกสูงขึ้นการที่โลกดูดกลืนพลังงานความร้อน จากดวงอาทิตย์ มากกว่าจะสะท้อนกลับออกไปสู่อวกาศ ทำให้เกิดการไม่สมดุลย์ขึ้น ทำให้โลกร้อนขึ้นค่ะ ส่วนคำถามสองคือ ภาวะโลกร้อน กับภัยพิบัติทางธรรมชาติ เกี่ยวข้องโดยตรงหรือโดยอ้อมตรงไหนครับ
ดิฉันก็คงต้องขอ ให้อาจารย์อ่านที่นี่ค่ะ www.climate.org
และ ที่นี่ ค่ะ ซึ่งสรุปได้ก็คือ
ประเด็นสำคัญที่ประเทศไทยควรจะต้องคำนึงถึงก็คือ ภาวะโลกร้อนที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นี้เป็นปรากฏการณ์ในระดับโลกและคาดว่าจะยังคงดำเนินต่อไปอีกหลายทศวรรษเป็นอย่างน้อย
และ การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศอันเป็นผลสืบเนื่องจากภาวะโลกร้อนนั้นจะมีความแตกต่างกันไปตามแต่ละภูมิภาคของโลก ทั้งนี้ประเทศไทยตกอยู่ในข่ายที่จะได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อนโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้
ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอันเนื่องมาจากภาวะโลกร้อนนั้นเป็นผลที่เกิดขึ้นสืบเนื่องเป็นลูกโซ่ โดยอาจเริ่มจากผลกระทบต่อระบบชีวภาพกายภาพ (bio-physical system) และจะก่อให้เกิดผลกระทบสืบเนื่องต่อไปถึงด้านเศรษฐกิจสังคม เช่น ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้นกับระบบนิเวศน์ จะส่งผลกระทบสืบเนื่องไปถึงการดำเนินชีวิตและความเป็นอยู่ของผู้คน ซึ่งอาจมีความแตกต่างกัน
อาจารย์สามารถให้นักศึกษาค้นคว้าได้ที่ web site ดังกล่าวค่ะข้างต้น
ค่ะแต่ดิฉันขอสรุปสั้นๆอีกนิดว่า
ภัยจากโลกร้อน จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก ในด้านภูมิอากาศ และมีผลกระทบ ทำให้เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ ในระดับโลก เช่น
· อาจเกิด น้ำาท่วม อันเนื่องมาจากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น เป็นไปได้ว่า อาจต้องอพยพคนมากเป็นล้านๆคน· จากการที่ธารน้ำแข็งละลาย จะทำให้ชาวโลกบางส่วน ที่มีจำนวนไม่น้อย ขาดแคลนน้ำจืด· จะมีสัตว์ป่าบางชนิด ค่อยๆล้มหายตายจากไป จนถึงสูญพันธุ์· จะเกิดน้ำท่วมและภัยแห้งแล้ง ในหลายๆส่วนของโลก
ขณะนี้ บางส่วนของประเทศเคนย่า กำลังได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนน้ำในการเพาะปลูกและบริโภคแล้ว