นอนกอดนางฟ้า
เมื่อวานผู้เขียนเพิ่งอ่านหนังสือเล่มหนาประมาณห้าร้อยหน้าเล่มหนึ่งจบ จบด้วยความประทับใจ ด้วยรอยยิ้ม และระหว่างอ่านก็ได้สัมผัสอารมณ์หลากหลาย อย่างที่หาจากหนังสือเล่มอื่นได้อยาก หนังสือเล่มอื่นอาจได้สัมผัสอารมณ์จากการจินตนาการของผู้เขียนหนังสือเล่มนั้นๆ แต่หน้งสือเล่มนี้ท่านจะได้สัมผัสจากความรู้สึกจริงๆ จากเรื่องจริงๆ ของคนจริงๆ
เมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้จบ ผู้เขียนก็พยายามเขียนบันทึก โดยนำตัวอย่างบทที่ผู้เขียนประทับใจที่สุด มาให้ทุกท่านอ่านกัน แต่ก็ได้แต่ลอกบทนั้นแล้วบันทึกเก็บไว้ในไฟล์นอนนิ่งอยู่เช่นนั้น ไม่อาจเขียนบันทึกได้ ที่เขียนไม่ได้ก็ด้วยที่ตัวเองไม่สามารถเขียนบรรยายอารมณ์ต่างๆ เล่าให้ทุกท่านอ่านได้ จึงได้แต่เก็บความอึดอัดนั้นไว้คนเดียว
มาวันนี้ได้โอกาสแล้วครับ เพราะมีกัลยาณมิตรท่านหนึ่งเขียนบทนำแทนผู้เขียนแล้ว ทั้งๆ ที่ท่านก็ไม่รู้ตัวว่าได้ช่วยเหลือผู้เขียนไว้
เขียนมายึดยาวท่านอาจสงสัยว่า หนังสือเล่มนั้นชื่ออะไร ใครกันหนาที่แต่งหนังสือเล่มนั้น แล้วใครกันเล่าคือกัลยาณมิตรท่านนั้น
เพื่อคลายความสงสัย ขอเฉลยเลยว่าหนังสือเล่มนั้นชื่อ เดินสู่อิสรภาพ แต่งโดย อ.ประมวล เพ็งจันทร์ อดีตอาจารย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผู้ที่ยอมลาออกจากราชการก่อนกำหนด ผู้ยอมสละยศฐาบรรณาศักดิ์ อันเป็นที่หวงแหนสำหรับผู้อื่น เพื่อทำในสิ่งที่ใจตนเองเรียกร้อง และเป็นสิ่งที่มนุษย์โดยทั่วไปไม่กล้าทำ
ผู้เขียนได้คัดลอกบทหนึ่งในหนังสือเล่มนี้มาให้ได้อ่านกัน จริงๆ แล้วบทนี้เขามีชื่อบทของเขา แต่ผู้เขียนขออุบไว้ก่อนด้วยเหตุผลบางประการ แล้วตั้งชื่อเสียใหม่ว่า นอนกอดนางฟ้า พอท่านอ่านจบแล้วค่อยเฉลยว่าบทนี้มีชื่อว่าอะไร
อ้อ เกือบลืม ถ้าอยากทราบว่ากัลยาณมิตรท่านนั้นคือใคร เชิญกดที่นี่เลยครับ
เชิญทัศนาครับ
เช้าของวันที่สามในการพักที่วัดดงเย็น หลังจากทานอาหารเช้าแล้ว ก็ได้กราบลาท่านเจ้าอาวาส แล้วก็ออกเดินทางจากวันดงเย็นย้อนกลับเข้ามาในตลาดอู่ทอง แล้วเดินตามถนนมาลัยแมน (ถนนหมายเลข ๓๒๑) ไปสู่นครปฐม
จาก อ.อู่ทอง เดินเข้าสู่เขต อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี ถนนมาลัยแมนเป็นถนนสี่ช่องจราจร มียวดยานพาหนะสัญจรไปมามาก เป็นชุมชนที่อยู่อาศัยตลอดสองข้างทาง ผมพยายามสำรวมจิตให้เป็นสมาธิแต่ก็ทำได้ยาก เพราะมีเหตุการณ์ภายนอกมาคอยดึงจิตไปสู่ภายนอกอยู่ตลอดเวลา
การไม่มีสมาธิในการก้าวเดินทำให้รู้สึกเหนื่อยเร็ว แต่ถนนเส้นนี้มีสิ่งที่ดี คือ มีศาลาริมถนนให้ได้หยุดนั่งพักเป็นระยะอยู่ตลอดเส้นทาง
จากเวลาเช้า ไปเป็นเวลาบ่าย ผมเดินไปท่ามกลางบ้านเรือนสองข้างถนนใหญ่และฝูงชนที่ผ่านไปมา แต่ไม่มีการพูดคุยสนทนากับใคร ซึ่งแตกต่างจากเวลาที่เดินในเขตชนบทหรือนอกเขตเมือง ที่นานๆ จึงจะมีชุมชนและผู้คนให้ผ่านพบ แต่เมื่อมีคนแปลกหน้าผ่านเข้าไป ชาวชนบทเขาจะไม่ยอมให้คนแปลกหน้านำความแปลกใจสงสัยมาทิ้งให้เขาแล้วจากไป แต่เขาจะช่วยทำคนแปลกหน้าให้เป็นคนรู้จักด้วยการซักถามพูดคุย และสนทนากับคนแปลกหน้า แต่สำหรับคนเมืองแล้ว ความเป็นคนแปลกหน้า ไม่ใช่สิ่งแปลกปลอมในวิถีชีวิต ชาวเมืองผ่านพบคนแปลกหน้าจนชาชิน อย่าว่าแต่ผมที่เดินผ่านไปเลย บางที แม้แต่ผู้ที่มีบ้านอาศัยอยู่ชิดติดกันก็ยังเป็นคนแปลกหน้าของกันและกัน เพราะฉะนั้น เมื่อผมเดินไป การปรากฎกายของคนแปลกหน้าเช่นผม จึงไม่ได้รบกวนจิตใจของชาวเมือง และไม่มีความจำเป็นใดที่ชาวเมืองต้องมาสนใจคนแปลกหน้า
ผมเดินไปจนเวลาเย็นใกล้มืด จึงกำหนดว่าจะหยุดพักที่วัดใดวัดหนึ่งที่ตั้งอยู่ด้านซ้ายมือ ทั้งนี้เพราะขณะนั้นผมเดินอยู่ฝั่งซ้ายของถนน หลังจากกำหนดเช่นนั้นแล้ว เดินต่อมาก็พบวัดที่ตั้งอยู่ฝั่งซ้ายของถนน ชื่อ วัดศรีเฉลิมเขต อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี
เดินเข้าไปในวัด เห็นพระภิกษุรูปหนึ่งยืนอยู่บริเวณวัด จึงเดินตรงไปหาท่าน แล้วนั่งคุกเข่าตรงหน้า พร้อมกับพนมมือไหว้กล่าวขออนุญาตพักที่วัด
“หลวงพ่อครับ! ผมเดินมาและเวลาใกล้มืดแล้ว ใคร่ขอเมตตาจากหลวงพ่อขอนอนพักที่วัดนี้สักคืนหนึ่ง จะได้ไหมครับ”
“ได้! ได้!” ท่านกล่าวตอบ ขณะที่พยักหน้าอนุญาต แล้วหันหลังเดินไปที่ร่มไม้ที่มีม้าหินตัวหนึ่งตั้งอยู่ ผมเดินตามหลังท่านไป เพราะยังไม่รู้ว่าท่านจะอนุญาตให้พัก ณ ที่ใด
หลวงพ่อเดินไปนั่งลงที่ม้าหิน ผมจึงนั่งลงที่พื้นดินใกล้ๆ ม้านั่ง ท่านได้บอกเล่าพูดคุยเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวกับกิจการพระศาสนา โดยที่ไม่สนใจว่าผู้ฟังคือตัวผมจะรู้เรื่องและอยากรู้เรื่องนั้นหรือไม่
ผมปฏิบัติตนเป็นผู้ฟังที่ดีอยู่จนความมืดของเวลาค่ำคืนกำลังมาเยือน และเห็นทีท่าว่า หลวงพ่อคงจะบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ไปได้เรื่อยๆ ถ้าหากยังมีผู้ฟังอยู่ เพราะฉะนั้นเพื่อไม่ให้ท่านต้องเหน็ดเหนื่อยในการบอกเล่า ผมจึงควรขอตัวไปพักด้วยการถามท่านว่า
“หลวงพ่อจะเมตตาให้ผมพักได้ที่ไหนครับ?”
“ไปที่ศาลาโน้น” ท่านพร้อมกับชี้มือไปที่ศาลาหลังหนึ่ง ผมยกมือไหว้เพื่อขอบพระคุณและขออนุญาตไปที่ศาลา
ศาลาที่หลวงพ่อชี้อนุญาตให้ผมพักได้เป็นศาลาหลังใหญ่มีประตูเหล็กเลื่อนปิดเปิด ผมดึงประตูเหล็กเปิดมีเสียงดังขึ้น เมื่อพยายามดึงประตูเลื่อนให้เปิด และทันใดนั้นก็มีเสียงดังขรมจากเจ้าของสถานที่
เมื่อประตูเลื่อนเปิดพอจะแทรกตัวเข้าไปได้ ผมก็ก้าวเข้าไปด้านในศาลา ฝูงหมาที่เป็นเจ้าของถิ่นวิ่งกรูกันเข้ามาส่งเสียงเห่าสกัดผมเหมือนไม่อนุญาตให้ผมเข้าไปด้านใน ผมต้องนั่งลงที่พื้นยกระดับใกล้ๆ กับประตู ความตั้งใจที่จะเข้าไปด้านในศาลา เพื่อไปให้ห่างประตูหมดไปเมื่อเห็นเจ้าของสถานที่ไม่อนุญาต
แม้ว่าจะหยุดนั่งลงแล้ว แต่ฝูงหมาเจ้าของถิ่นก็ยังส่งเสียงเห่า
“อย่ารังเกียจผมเลย ผมเดินมาเหนื่อยมากและก็มืดแล้ว ผมขอที่เพื่อนอนพักเพียงนิดเดียว ขอสัญญาว่าจะไม่รบกวน ไม่ทำให้เดือดร้อน เรามาเป็นเพื่อนกันเถอะ” ผมกล่าวพึมพำกับฝูงหมาเจ้าของถิ่น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะมันเห่าจนพอแล้ว หรือมันรับสารที่ผมส่งไปได้ เพราะหลังจากนั้นฝูงหมาเหล่านั้นก็หยุดเห่า แล้วแต่ละตัวก็กลับไปนอนในที่ของตัว
แม้อยากจะเข้าไปกราบพระพุทธรูปที่หน้าองค์พระ แต่เมื่อรู้สึกว่าการที่เข้าไปหน้าองค์พระจะเป็นการผิดสัญญาและรบกวนเจ้าถิ่น ผมจึงกราบพระแต่ที่ไกลจากจุดที่นั่งอยู่ เสร็จแล้วก็ใช้ผ้าเช็ดเท้าที่มีอยู่ใกล้ๆ นั้นปัดกวาดฝุ่น ในพื้นที่ซึ่งจะใช้เป็นที่หลับนอน ตรงใกล้ๆ กับประตูเข้าศาลา
คืนนั้นเมื่อผมไปหาน้ำมาดื่มดับหิวกระหายแล้วก็นอนหลับภายในศาลาใกล้ๆ ประตูด้วยความเหน็ดเหนื่อย
ผมนอนหลับไปเป็นเวลานานเท่าไหร่ไม่สามารถกำหนดรู้ได้
รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาในสภาวะที่มีความทรงจำอันลางเลือน
แรกรู้สึกตัวยังไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน และทำไมจึงได้มานอนอยู่ที่นี่
มีแสงไฟสลัวๆ สาดส่องมาจากข้างนอก
จมูกได้กลิ่นเหม็นสาบๆ คาวๆ
ร่างกายรู้สึกเหมือนมีอะไรมาสะกิดอยู่ที่สีข้างทั้งด้านซ้ายและขวา
เอื้อมมือไปสัมผัสดูว่ามีอะไรอยู่ใกล้ตัว
มือสัมผัสกับอะไรที่สากๆ
ขณะนั้นความรู้สึกจำได้เริ่มกลับคืนมา ระลึกได้ว่า เมื่อตอนเย็นเดินมาและได้มาขอนอนพักที่ศาลาในวัด
มือที่สัมผัสอะไรสากๆ ก็รู้ว่าเป็นหมาขี้เรื้อน ที่มีขนร่วงหลุดเหลือแต่ผิวหนังสากๆ
กลิ่นเหม็นสาบๆ คาวๆ ก็คือกลิ่นของหมาขี้เรื้อน
ที่รู้สึกตัวตื่นขึ้นมากลางดึกนี้ ก็เป็นเพราะหมาขี้เรื้อนที่มานอนอิงแอบแนบชิดอยู่ทั้งด้านซ้ายและขวา ใช้ขาของมันเกาขี้เรื้อนแล้วมากระแทกกับร่างกายของผม
พลันที่รู้ได้เช่นนี้ ทำให้รู้สึกยินดีเป็นล้นพ้น
ยินดีที่หมาขี้เรื่อนเหล่านี้ไม่รังเกียจผม
ยินดีที่หมาขี้เรื้อนเหล่านี้ยอมรับผมเป็นเพื่อนด้วยการมานอนใกล้ชิด
ยินดีที่ตัวเองยังมีชีวิต มีไออุ่นให้เพื่อนหมาขี้เรื้อนได้อิงอาศัยไออุ่น
วูบแห่งความรู้สึกเช่นนั้นทำให้เกิดปีติแผ่ซ่านไปทั่วตัว
ผมใช้มือทั้งซ้าย-ขวาไปลูบตัวหมาขี้เรื้อนที่นอนแนบกายซ้าย-ขวาของผม
เพื่อนผู้ร่วมทุกข์ในการเกิด-แก่-เจ็บ-ตายของผม แสดงปฏิกิริยาตอบให้ผมรู้ว่า เขารู้สึกพึงพอใจที่ผมใช้มือลูบตัวเขา
ช่วงขณะนั้นผมรู้สึกเหมือนประหนึ่งว่า ตัวเองได้จุติจากภพภูมิหนึ่งไปอุบัติขึ้นในอีกภพภูมิหนึ่ง เป็นภพภูมิที่อยู่บนสรวงสวรรค์ที่เคยใฝ่ฝันถึงมานาน
การได้สัมผัสกับผิวหนังของหมาขี้เรื้อน
การได้สัมผัสกับกลิ่นเหม็นสาบๆ คาวๆ ของหมาขี้เรื้อน
เป็นการสัมผัสรู้ด้วยจิตใจที่ผ่องใสเบิกบาน
เป็นการสัมผัสรู้ที่ก่อเกิดให้เกิดความงดงาม
เป็นการสัมผัสโลกที่แสนสวยงาม
ช่วงขณะแห่งความรู้สึกระลึกได้เช่นนั้น ทำให้ผมตระหนักได้ถึงความหมายและคุณค่าของการมีชีวิตอยู่
เพียงแค่มีชีวิตอยู่ก็ก่อให้เกิดไออุ่นที่เกื้อกูลต่อเหล่าหมาขี้เรื้อน ให้เขาได้อิงแอบแนบอาศัยไออุ่นจากเนื้อตัวผม ถ้าหากหัวค่ำคืนนี้ผมหมดลมหายใจไป เนื้อตัวผมคงเย็นชืด ไม่มีคุณค่าประโยชน์ใดๆ ต่อหมาขี้เรื้อนเหล่านี้ แต่นี่เพราะผมยังไม่ตาย ยังหายใจ ยังมีไออุ่นแห่งชีวิตจึงมีคุณค่าต่อการมีชีวิตอยู่ร่วมกัน ได้อิงอาศัยกัน ได้เป็นเพื่อนกัน
ขณะที่ลูบคลำผิวหนังที่เป็นขี้เรื้อนของเพื่อนผู้ร่วมทุกข์ในการเกิด-แก่-เจ็บ-ตายนั้น คำภาวนาเพื่อแผ่เมตตาก็ปรากฏขึ้นในใจ
“สัพเพ สัตตา สุขิตา โหนตุ” ขอให้สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงผู้เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ในการเกิด-แก่-เจ็บ-ตาย จงเป็นสุข เป็นสุขเถิด
บทแผ่เมตตาภาวนานี้ ผมได้ท่องจำจนขึ้นใจมาเป็นเวลานานแล้ว แต่ที่ผ่านมานั้นบทเมตตาภาวนานี้ เป็นเพียงความทรงจำที่เปล่งออกมาเป็นวจีกรรม และปรากฏอยู่ภายในจิตด้วยการครุ่นคิดหาความหมาย แต่ ณ ขณะนี้ ความหมายแห่งเมตตาภาวนาปรากฏชัดเจนแจ่มแจ้งภายในจิตใจ
ผมใช้มือลูบคลำเนื้อตัวของเพื่อนผู้ร่วมทุกข์ในการเกิด-แก่-เจ็บ-ตาย ด้วยความหมายแห่งความรู้สึกที่ปรารถนาให้เขาเป็นสุข เป็นสุขเถิด และช่วงขณะแห่งความรู้สึกปรารถนาเช่นนั้น ผมนอนหลับไปอย่างมีความสุข เป็นการนอนหลับที่มีความสุขมากที่สุด เท่าที่ผมมีความทรงจำได้หมายรู้ถึงอดีตที่ผ่านมา
เป็นความสุขที่เหมือนนอนหลับอยู่บนสรวงสวรรค์ชั้นสูงสุด.
ทราบหรือยังครับว่านางฟ้าตนนั้นเป็นใคร และขอเฉลยว่าชื่อบทนี้คือ “หมาขี้เรื้อน” ครับ
ช่วงสงกรานต์นี้ใครอยากเมานอนกอดนางฟ้าก็เชิญนะครับ
สวัสดีปีใหม่ครับ
ผมคนหนึ่งที่ไม่กอดหมาตัวนั้น เพราะที่บ้านมีแล้ว 2 ตัว
ปวดหัวทุกวันทั้งขี้ทั้งฉี่
สวัสดีค่ะคุณธรรมาวุธ
ดิฉันได้เขียนข้อคิดเห็นตั้งแต่ครั้งแรกที่มาอ่านบันทึกนี้เมื่อคืน เพราะเพิ่งอ่านบันทึกที่ อ.ประพนธ์ เขียนเมื่อตอนเย็น แล้วเลยไป download file มาอ่าน
ปรากฎว่า พอบันทึกข้อคิดเห็นแล้ว มันไม่ติดค่ะ เขียนใหม่อีกรอบ ข้อความไกล้เคียงเดิม (เพราะจำที่เขียนเดิมไม่ได้ทั้งหมด) แล้วบันทึกอีก ก็ไม่ติดค่ะ เลยคิดว่าไปนอนก่อนดีกว่า ; ) สงสัย laptop ทำพิษ
เช้านี้เลยมาบันทึกข้อคิดเห็นดังนี้ค่ะ (หวังว่าคงบันทึกติด เพี้ยง...)
เรื่องของอาจารย์ประมวลนี้ ดิฉันว่าให้คติธรรมแก่ดิฉันหลายประการ ประการหนึ่งก็คือหากต้องการค้นพบความจริงที่สวยงามและแท้จริงของชีวิต ให้ค้นหาตอนที่เราเป็นมนุษย์ที่ไม่มีทุกสิ่งที่สังคมเห็นว่าจำเป็น ไม่มีอะไรเลย มีแต่ตัวเราจริงๆ ก้บเป้าหมายในการค้นหา แล้วจะเห็นความงดงามของชีวิตเหมือนที่อาจารย์ประมวลได้เห็นจากการนอนกอดนางฟ้า 2 ตัวนี้ ; )
ขอบคุณที่นำมาเสนอให้พวกเราได้อ่านกันค่ะ
สวัสดีปีใหม่ไทยค่ะ
สวัสดีครับอาจารย์
ธรรมะสวัสดีครับ
คุณธรรมาวุธคะ ดิฉันคิดว่าโอกาสที่เราจะได้ทำแบบ อ.ประมวล นั้นเป็นเรื่องของบุญบารมีของแต่ละคนค่ะ ดิฉันคงทำขนาดท่านทำไม่ได้ค่ะ อาจตายก่อนปฏิบัติเสร็จ ; )
เราอาจมีหรือไม่มี หรืออาจได้ปฏิบัติในแนวทางอื่น แต่ค้นพบสิ่งเดียวกันก็ได้ค่ะ สำหรับดิฉัน ธรรมมีอยู่ในทุกที่ เพียงแต่รอให้เราเห็นและเข้าใจเท่านั้นค่ะ : )
ธรรมะสวัสดีครับ
สวัสดีครับพี่บ่าว
ธรรมะสวัสดีครับ
ปล. อาจารย์ครับ พอดีแถวนี้อยู่ใกล้วัด มีนางฟ้าหลายตัวเลย อาจารย์สนใจเอาไปนอนกอดแก้เห่า เอ๊ย แก้เหงา บ้างไหมครับ?
สวัสดีครับคุณพี่
ธรรมะสวัสดีครับ
ธรรมะสวัสดีครับ
เออ นะ ธรรมาวุธ น้องบ่าวเรา
ว่าอะไรมาก็ ดีหมด .. พอมาตอนท้ายเลยต้องให้ "หมดดี" เลย
เล่นมีน้ำใจ หานางฟ้าเตรียมไว้ให้ เรานอนกอดถึงสององค์ .. แบบนี้ต้องใช้ความดีเข้าตอบแทนเสียแล้ว
พี่เป็นคนใจดีน้องเหอ .. ไม่หวงของด้วย จึงใคร่ขอให้น้องดูแล ให้ความอบอุ่นกับทั้งสององค์ไปก่อน
อย่าให้เธอ เหา (ออกเสียง ง ไม่ได้เพราะโหย กรุงเตบนาน แหลงไม่คร่ายฉับแหล่ว) .. สักสามเดือนพี่ค่อยไปรับ .. หวังว่าถึงตอนนั้น น้องบ่าวคงหายคัน และมีผิวงดงามดังเดิมได้แล้ว ... 5 5 5 และ อิ อิ อิ.
อ.แม่หว้า .. เอ๊ย อ.ลูกหว้า .. ต้องการคนช่วยมั้ยครับ .. ที่ว่า กะจะหัดใช้เงิน นั้น ผมช่วยได้ดี จะสาธิตให้ดู ขอให้เตรียมไว้เยอะๆก็แล้วกัน .. รับรองว่าไม่เหลือครับ .. เป็นความสามารถเฉพาะตัว แต่ก็พอสอนกันได้ .. ภาคทฤษฎีที่ต้องเรียนให้หนัก ก่อนลงมือปฏิบัติจริงคือวิชา Materialism และ Consumerism ครับ
2 วิชานี้ ฝรั่งคิดหลักสูตร แต่มา ประสบความสำเร็จสูงสุดในเมืองไทย .. สังเกตได้ว่า ทาสิทนอลลิจ มีอยู่ทั่วไปในตัวคน .. ฝังลึกจนถอนยากเต็มทน .. ถ้า อ. ดร.ประมวล มาเรียนคงได้อย่างมากแค่ D ครับ.
เรียนพี่บ่าวที่เคารพ
สวัสดีปีใหม่ครับ
สวัสดีครับ น้องชาย
สวัสดีปีใหม่เช่นกันครับ
สวัสดีค่ะคุณธรรมาวุธ
มาชื่นใจกับการกอดนางฟ้าด้วยคนค่ะ..เพียงเรามองข้ามเปลือกนอก..สัมผัสไปให้ถึงความรู้สึกภายใน..ทั้งเราและสิ่งอื่นต่างก็งอกงาม
บันทึกนี้งดงามมากค่ะ..เบิร์ดขอรดน้ำดำหัวสงกรานต์ด้วยน้ำใส เย็นฉ่ำลอยดอกมะลิกับกลีบกุหลาบหน่อยนะคะ..ขอให้คุณธรรมาวุธมีแต่ความสุขกาย สุขใจ ฉ่ำเย็นในจิตตลอดไปนะคะ...
สวัสดีครับคุณเบิร์ด
ธรรมะสวัสดีครับ
ผมพลาดบันทึกที่ดีๆไปได้ยังไง
ผมขออนุญาต add ไว้ใน planet ของผมนะครับ
เข้ามาสำรวจดูหลายครั้งแล้ว... แต่ไม่ได้ทิ้งร่องรอยไว้....
หลวงพี่เคยเรียนปรัชญากับอาจารย์ ดร. ประมวล....ที่ มช.....
เจริญพร
กราบสามครั้งครับ
สวัสดีครับคุณพี่
สวัสดีครับท่าน ธรรมาวุธ
เป็นบทความที่ดีมากนะครับ...ต้องหาหนังสือเดินสู่อิสรภาพ แต่งโดย อ.ประมวล เพ็งจันทร์ มาอ่านแล้วครับ...เห็นบทความและรูปของท่านลงในหนังสือพิมพ์ช่วงก่อนนี้...
อ่านแล้วเห็นนางฟ้าเลยครับ...มันต้องมองเลยวัตถุหรือกายที่ปรากฏ...มองให้ถึงใจเลยครับ...
สาธุ...
โอชกร
ธรรมะสวัสดีครับ
สวัสดีครับน้องบาว
เข้ามาช้า แต่อรรถรสก็ยังอยู่ครบได้แล้วครบเครื่องพร้อมข้อคิดเห็นจากญาติมิตร เสพช้าเลยโง่นานครับ แต่ได้กำไรชีวิตในความเห็นเพราะได้อ่านความเห็นของทุกท่าน
ขอบคุณเพื่อนเอก ที่บอกลิงก์ตั้งแต่ของท่าน เชิญกดที่นี่เลยครับ
ขอบคุณมากครับ
เม้ง สมพร ช่วยอารีย์ ---------> http://www.somporn.net
สวัสดีครับพี่เม้ง
ไม่สายไปหรอกครับ แถวบ้านพี่ที่คอนนางฟ้าน่าจะเยอะนะครับ อิอิ
สวัสดีครับ
สวัสดีค่ะ..คุณธรรมวุธ
อ่านแล้วซึ้งจังค่ะ..ทุกชีวิตมีค่าเท่าเทียมกัน
หากเราสามารถรักทุกสรรพสิ่งได้อย่างเสมอกันแล้ว ..ความเมตตาน่าจะเป็นพลังอันอบอุ่นอย่างมหาศาล..ที่จะเกาะกุมหัวใจให้ไออุ่นโอบล้อมหัวใจอันโดดเดี่ยวและเหว่ว้าได้...
ดิฉันอ่านไปก็สัมผัสได้ถึงไออุ่นของนางฟ้าเชียวค่ะ..
ขอบคุณสำหรับบทความดีๆ อ่านแล้วอิ่มใจจัง..
สวัสดีและยินดีต้อนรับครับครูแอ๊ว
ธรรมะสวัสดีครับ
การที่เรามีชีวิต มีลมหายใจอยู่ แค่นี้ก็มีความหมายพอที่จะทำให้ชีวิตเรามีค่าสูงสุดได้เพียงเรารู้จักมองลงไปให้ลึกซึ้งทุกๆอย่างก็มีค่าได้หมดแม้แต่ฝุ่นผง จะมีกี่คนที่สามารถคิดได้และเห็นค่าของสรรพสิ่งทุกอย่างรอบตัวได้แบบนี้ การที่คนเรางมีลมหายใจแม้แต่ไออุ่นของเราก็ทำให้สัมผัสได้ถึงความสุขของคุณค่าความเป็นมนุษย์ที่ถูกมองค่าให้งดงามขึ้นมาได้