จากสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย และสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม ดำเนินโครงการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมการเพิ่มประสิทธิภาพขององค์กรทางการศึกษาด้วยการจัดการความรู้ โดยมีแนวคิดที่จะส่งเสริมสนับสนุนให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาที่ดูแลสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน และสถานศึกษาขั้นพื้นฐานเหล่านั้น ได้นำหลักการและแนวทางการจัดการความรู้ (knowledge management) มาประยุกต์ใช้ เพื่อให้เกิดการนำสติปัญญาขององค์กรมาเพิ่มพลังในการเรียนรู้ การเข้าถึงความรู้ การรู้จักเลือกใช้ ดัดแปลง ปรับปรุง ต่อยอดความรู้ที่มีอยู่เดิม และหรือสร้างความรู้ใหม่ อันจะนำไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพ ประสิทธิผลขององค์กรที่จัดและที่สนับสนุนการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานให้กับเด็กและเยาวชน
ระยะแรกของการดำเนินโครงการวิจัย มีเป้าหมายการวิจัยที่มีระดับความพร้อมและความเป็นไปได้ ได้ทีมแกนนำและเกิดเครือข่ายนักจัดการความรู้ขององค์กรเป้าหมายการวิจัย คือ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา 17 แห่ง ที่ครอบคลุมพื้นที่ 4 ภูมิภาค และสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน 78 แห่ง รวมจำนวน 95 แห่ง ให้เป็นแกนหลักนักจัดการความรู้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพขององค์กร เป็นทีมขับเคลื่อนการจัดการความรู้ ถ่ายทอด สร้างนักปฏิบัติการจัดการความรู้ และร่วมกันพัฒนารูปแบบการจัดการความรู้ในองค์กรของตน เพื่อเป็นต้นแบบและขยายผลให้กับองค์กรทางการศึกษาอื่น
องค์กรกลุ่มเป้าหมายการวิจัยคือ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา 17 แห่ง และสถานศึกษา 78 แห่ง รวม 95 แห่งๆ ละ 2-7 คน มีจำนวนทั้งสิ้น 305 คน โดยการประชุมครั้งนี้ จัดเป็นกิจกรรมหนึ่งในโครงการวิจัยที่มุ่งหวังพัฒนากลุ่มเป้าหมายให้สามารถสร้างกระบวนการจัดการความรู้ในองค์กรตลอดระยะเวลาดำเนินการโครงการ และวัตถุประสงค์ของการจัดประชุมเน้นเป็นกลุ่มขนาดเล็ก ต้องมีการฝึกปฏิบัติ แบ่งกลุ่มย่อย จึงวางแผนดำเนินการจัดประชุมกลุ่มเป้าหมายการวิจัย จำนวน 6 ครั้ง ๆ ละ ประมาณ 45 – 65 คน ดังนี้
ซึ่งจาก 2 ครั้งที่ผ่านมา (ครั้งที่1-2) ที่จ๊ะจ๋าได้เข้าร่วมการประชุมปฏิบัติการได้เข้าร่วมการประชุมปฏิบัติการ “ทีมแกนนำนักจัดการความรู้ของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาและสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน” กลุ่มเป้าหมายโครงการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมการเพิ่มประสิทธิภาพขององค์กรทางการศึกษาด้วยการจัดการความรู้ ซึ่งผู้เข้าร่วมประชุมจาก สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา และจากสถานศึกษาที่มีผู้อำนวยการโรงเรียนและ ครู ดังนี้
ข้อสังเกตจากกิจกรรมทั้ง 2 ครั้งดังนี้ ครั้งแรก พบว่า
ครั้งที่ 2 คือ
จากประสบการณ์การเข้าร่วม Workshop 2 ครั้ง จ๊ะจ๋ารู้สึกว่า ทีมงานวิจัยของโครงการฯ คงต้องพยายามชักชวนให้แกนนำเริ่มทำใจจุดเล็กๆ ที่เห็นว่าพร้อมทำ KM น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี และในการชักชวนคนอื่นๆ ให้ร่วมกันทำ KM นั้นคงต้องใช้วิธีที่ชักชวนด้วยใจ และจ๊ะจ๋าคิดว่าทีมงานวิจัยโครงการฯ คงต้องตามไปให้กำลังใจกับแกนนำเป็นระยะๆ คอยสอบถามอยู่เรื่อยๆ และการติดต่อสื่อสารผ่าน weblog ก็เป็นหนทางหนึ่งในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และอยากให้แกนนำของโครงการฯ เห็นความสำคัญในการใช้ blog เพราะเป็นเครื่องมือหนึ่งที่สำคัญมาก และยังช่วยให้แกนนำมีโอกาสเรียนรู้วิธีการดำเนินงานต่างๆ จาก Best practice ในเรื่องที่ตนสนใจและตรงตามวิสัยทัศน์ พันธะกิจของแต่ละโรงเรียน ในลักษณะ เพื่อนช่วยเพื่อน หรือ พี่สอนน้อง ก็เข้าใจนะคะว่าการเริ่มเรียนรู้และปฏิบัติในสิ่งใหม่ๆ เป็นสิ่งที่ไม่ง่ายนัก เพราะความเคยชินในเรื่องของระบบความคิด ระบบการทำงาน ที่ต้องปรับเปลี่ยนไป แต่ถึงอย่างไรก็ตาม เรายังต้องพร้อมที่จะพัฒนา ตัวเอง การทำงาน และองค์กร เพื่อเกิดประสิทธิภาพสูงสุด การเรียนรู้และรับในสิ่งใหม่ตลอดเวลา สอนให้จ๊ะจ๋าพร้อมที่เปิดใจยอมรับมันและเรียนรู้ไปกับสิ่งนั้น และสิ่งรอบข้าง เพราะเราต้องพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ กับยุคสมัยที่มีการเปลี่ยนแปลงทุกวินาที
ไม่มีความเห็น