เพื่อนสุรเชษฐ์ เวชชพิทักษ์ ตั้งประเด็นที่น่าสนใจและเป็นประเด็นที่วงการการศึกษาคุยกันมาหลายสิบปี และยังเป็นประเด็นที่คุยกันได้อีก ไม่จบสิ้น เพราะมีความหลากหลาย มีการสร้างสรรค์ไปมากมาย ผมว่าเพื่อน พี่น้องใน G2K จำนวนมากก็มีประสบการณ์เรื่องนี้มาบ้างแล้ว คงจะทยอยออกมาแสดงประสบการณ์กัน
ผมเองก็มีประสบการณ์เหมือนกันครับ ที่โรงเรียนเด็กเล็กแห่งหนึ่ง เขาจะประชุมผู้ปกครองว่า โรงเรียนแห่งนี้จะมีปรัชญาการเรียนการสอนเป็นแบบให้เด็กเป็นศูนย์กลาง แล้วครูเป็นเพียงเพื่อน เป็นพี่เลี้ยงคอยเสริมสร้างให้ประสบการณ์ของเขาเต็มตามที่เขาต้องการ ผลที่ได้เด็กจะเป็นตัวของตัวเอง คิดเป็น ทำเป็นและสร้างสรรค์อยู่บนสิ่งที่จับต้องได้ ......
เช้าวันหนึ่งผู้บันทึกไปสังเกตกระบวนการเรียนการสอนของเขาว่าทำอย่างไรนะ เมื่อคุณพ่อคุณแม่มาส่งลูกให้กับครูที่ยืนต้อนรับหน้าโรงเรียนแล้วครูก็พาเด็กเข้าไปพบเพื่อนๆในห้อง รวบรัดเข้าประเด็นครับ คุณครูตั้งคำถามเด็กๆว่า วันนี้หนูๆคิดอยากจะทำอะไรบ้าง คิดซะ เดี๋ยวครูจะมาเอาคำตอบนะ ครูเดินออกไปสักพักก็เข้ามา ครูมาถามเด็กว่า เอ้า ใครบอกครูได้บ้างว่าจะทำอะไรกันบ้าง
มีเด็ก 2 คนจับมือกันแล้วบอกว่า หนูอยากขี่ม้า
มีเด็ก 3 คน จับมือกันบอกว่า หนูอยากทำขนมแพนเค้ก
มีเด็ก 5 คนเกาะกลุ่มกันแล้วบอกว่า หนูอยากสร้างบ้าน
.......
เมื่อได้คำตอบครับแล้ว ครูก็ตั้งคำถามต่อว่า ทำไมหนู 2 คนถึงอยากขี่ม้า ช่วยอธิบายให้เพื่อนๆในห้องทราบด้วยทำไมหนู 3 คนถึงอยากทำแพนเค้กล่ะทำไมหนู 5 คนถึงอยากสร้างบ้าน
ระหว่างนั้นเพื่อนครูผู้ช่วยอีกคนก็ออกไปข้างนอกไปปรึกษากับผู้บริหารโรงเรียน และครูท่านอื่นๆถึงความต้องการของเด็กๆเหล่านั้นสักพักก็เข้ามาแล้วปรึกษากับครูที่ประจำห้องแล้วก็ตอบกับเด็กๆทั้งหมดว่า ตกลง
เมื่อครูทราบความประสงค์ของทุกคนแล้ว ครูเข้าใจ และยินดีที่จะให้ทุกคนทำตามที่ต้องการ แต่จะมีครูพี่เลี้ยงไปช่วยหนูนะ เกิดการแบ่งกลุ่มครับ
เด็ก 2 คนที่อยากขี่ม้า มีครูผู้ชายพาไปคุยกันกลางสนามและที่นั่นมีม้าแกลบ ตัวเล็กๆ 1 ตัวพร้อมเครื่องต่างๆที่ใช้สำหรับเด็กๆขี่ รวมทั้งระบบ ความปลอดภัยด้วย เด็กได้ขี่ม้าจริงๆ วนไปวนมาทั้งสองคนผลัดกัน โดยมีครูพี่เลี้ยงคอยควบคุมอยู่
เด็ก 3 คนที่อยากทำแพนเค้ก ก็ไปเบิกเครื่องมือทุกอย่างจากห้องครัวมาหามุมทำแพนเตกกัน ทำจริงๆครับ มีครูพี่เลี้ยงแนะนำอยู่ แน่นอน
เด็ก 5 คนที่อยากสร้างบ้าน ไปแบกไม้มาจริงๆ มีตะปู ค้อน เลื่อย ฯลฯ ไปสร้างบ้านเล็กๆกันกลางสนามโน้น ครูพี่เลี้ยงคอยแนะนำและคุยด้วยกันตลอดเวลา ผมไม่เชื่อสายตาว่านี่คือโรงเรียนเด็ก เขาสอนกันอย่างนี้จริงๆหรือนี่ เด็กสนุกมาก คุยกันเสียงดังลั่น ครูก็สนุก ไม่มีเวลาเป็นข้อจำกัด
ท่านลองคิดซิว่าเด็กเรียนรู้อะไรบ้าง เด็กเกิดอะไรขึ้นในสมองบ้าง เด็กถูกหล่อหลอมอะไรลงไปในสมอง การพัฒนาการจะเป็นอย่างไร ผู้บันทึกอยากให้โรงเรียนเด็กเล็กอื่นๆ พังห้องออกมาทำอะไรอย่างนี้บ้าง
หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป ผู้เขียนกลับมาที่โรงเรียนนี้อีก วันนี้แปลกครับทั้งครู ทั้งเด็กแยกไม่ออกว่าใครเป็นใครเลย บ้างแต่งตัวให้ดูเหมือนนักรบจำนวนมาก บ้างแต่ตัวให้เหมือนผู้นำทัพ บ้างแต่ตัวเป็นกษัตริย์ มีการพูดคุยกัน แบ่งฝ่ายกัน รบรากัน (แบบลิเกน่ะ) แล้วเมื่อจบก็มานั่งล้อมวงคุยกัน แสดงความรู้สึกกัน แสดงเหตุผลกัน สนุกมาก
ปรากฏว่านั่นคือการเรียนวิชาประวัติศาสตร์ ที่เอาสาระทางประวัติศาสตร์มาแสดงร่วมกันเป็นละครเรื่องหนึ่งโดยทุกคนมีบทบาทแสดงครับ รวมทั้งครูด้วย
ให้ตายซิ ผมคิด ใครหนาช่างสร้างสรรค์เหลือเกิน ไม่เห็นมีเด็กคนไหนหลับ ไม่เห็นมีเด็กคนไหนทำหน้าเบื่อหน่าย ตรงข้ามสนุก และได้แสดงทุกคน พูดออกมาทุกคน ผมว่าทุกคนจำวันนี้ไปอีกนานแสนนาน ผู้บันทึกไม่ต้องการสรุป ให้ทุกท่านสรุปเองครับ
เหล่านี้คือการเรียนรู้แบบเด็กเป็นศูนย์กลางหรือเปล่าครับ ท่านครับ
หวัดดีครับ พอได้รับแจ้งก็คลิกลิงก์เข้ามาอ่านทันทีเลย
อ่านไปก็ขนลุกไป (แสดงว่าเรื่องเล่านี้สามารถเร้าอารมณ์ได้จริง)
ชมคนเล่าแล้วก็ขอชม รร.นี้ด้วยว่าสุดยอดจริงๆ
อยากให้มี รร.แบบนี้เต็มแผ่นดิน อยากให้มีครูแบบ รร.นี้เต็มแผ่นดิน ทำไงดี
จากที่อ่านเรื่องเล่านี้ พอเห็นได้ว่า ครู รร.นี้ มี good performance ด้านการสอนแบบเด็กเป็นศูนย์กลาง (ผู้บริหารด้วย) ซึ่งการ perform ออกมาดีนี้ ดูได้จาก
หนึ่ง - การทำแบบนี้สะท้อนกระบวนทัศน์ (ทัศนะพื้นฐานที่เป็นตัวกำหนดวิธีคิด วิธีให้คุณค่า และวิธีปฏิบัติ) ของคณะครูโรงเรียนนี้ ต่อเรื่องการศึกษา
สอง - ทำแล้วผลออกมาดี ตรงกับปรัชญาการศึกษาที่พูดกันมาก แต่ไม่ค่อยได้ยินเรื่องการปฏิบัติ
สาม - ทำอย่างเป็นธรรมชาติมาก ไม่เงอะๆ งะๆ (จากที่อ่าน) ใครทำอะไรได้ถึงขั้นเป็นธรรมชาติมากๆ ดูแล้วเหมือนทำง่ายๆ เป็นไปเอง และดูสวยงาม สง่างาม (เหมือนการขว้างมีดของชอลิ้วเฮียง หรือการใช้นิ้วคีบกระบี่ศัตรูของเล็กเซี่ยวหง ในหนังกำลังภายใน)
อยากฟังเรื่องเล่าแบบนี้อีกเยอะๆ ครับ
คำตอบในข้อความข้างบนที่บางทรายตอบกาเหว่าแม้จะสั้นๆ แต่ "อม" โจทย์หรือคำถามใหญ่ๆ ทางการศึกษาอยู่มาก (ซึ่งก็สะท้อนกระบวนทัศน์ในเรื่องการศึกษาของผู้เขียน)เช่น
ทุกข้อ(ความคิด)ที่ยกมาล้วนเป็นโจทย์ใหญ่ๆ ในเรื่องการศึกษาทั้งสิ้น คนที่เรียน ป.โท ป.เอก ทางการศึกษาจะเอาไปพัฒนาขึ้นเป็นโจทย์วิจัยในวิทยานิพนธ์เพื่อตอบคำถามเหล่านี้ก็น่าจะดี
ส่วนที่ผมเขียนคำว่า How? ไว้หลังทุกคำถาม เพราะอยากฟังอยากอ่านอยากเรียนรู้จากเรื่องเล่า best practice ของผู้ปฏิบัติการสอนที่เป็นนักจัดกระบวนการเรียนรู้ว่าท่านทำกันอย่างไร
ดิฉัน เห็นว่านี้เป็นการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพอย่างแท้จริงค่ะ
การให้เด็กได้เรียนรู้จากสิ่งที่ตนอยากจะทำ
หรือการนำการเรียนประวัติศาสตร์ที่แสนหน้าเบื่อ (ตามประสบการณ์ของดิฉัน)
มาทำให้ เด็กเข้าใจในเรื่องราว และรวมไปถึงได้รับความสนุกด้วย
ควรส่งเสริมค่ะ
ถ้ารัฐบาลสนับสนุนการศึกษาในรูปแบบดังกล่าว
ดิฉันว่าเด็กและสังคมไทยจะได้พัฒนาไปใกลกว่านี้แน่นอนค่ะ
สวัสดีครับ ปุยฝ้าย
เดี๋ยวนี้เมืองไทยมีหลายโรงเรียนที่พยายามสร้างหลักสูตรที่อยู่นอกกรอบมากขึ้น อย่างน่าสนใจครับ แต่น้อยเหลือเกินครับ