จำได้ว่าตอนเด็กๆที่แพท่าน้ำซึ่งเป็นสถานที่สาธารณะของการขนถ่ายสิ่งของ การเดินทางไปตลาด ไปอำเภอซึ่งอาศัยเรือเดินทางเป็นหลักนั้น แพจะเป็นที่ชาวบ้านมานั่งคอยเรือเมล์บนตลิ่ง เรือยังไม่มาก็คุยกัน ใครผ่านไปมาก็นั่งคุยกันบางทีนานเป็นชั่วโมง จาก 2 คนแล้วเพิ่มเป็น 4 คน 5 คน ตกตอนเย็นๆชาวบ้านเสร็จภารกิจก็จะมาอาบน้ำกันที่แพแห่งนี้ พบกันอีก ก็คุยกันอีก ใครมีอะไรก็มาคุยกันตรงนั้น เด็กๆชอบที่จะนั่งเบียดผู้ใหญ่แล้วฟังเขาคุยกัน สารพัดเรื่อง ทั้งเสียงลือ เสียงเล่า เรื่องคอขาดบาดตาย เรื่องไร่นา ดินฟ้าอากาศ แม้กระทั่งความรู้ต่างๆ ก็เอามาคุยกันที่นั่น ก็มีทั้งผู้หญิงผู้ชาย แต่ส่วนมากเป็นผู้มีครอบครัวแล้ว
ถ้าเป็นเรื่องเฉพาะก็จะเดินไปหากัน นั่งใต้ถุนบ้านบ้าง ขึ้นบนบ้านบ้าง แล้วแต่พอใจทั้งสองฝ่าย แน่นอนน้ำท่าก็ยกเอามากินกัน คนกินหมากกินพลูก็เอามาสู่กัน การต่อรองในกรณีที่มีการคุยกันถึงเรื่องการเช่าที่ทำนาก็เกิดขึ้นที่นั่นและจบลงโดยทั้งสองฝ่ายพึงพอใจ บรรยากาศเป็นแบบกันเอง เกรงใจกัน เห็นใจกัน ทำบุญทำคุณกันมากกว่าที่จะคิดเอากำไรถึงกับกินข้าวกินปลาด้วยกัน
ความสัมพันธ์แบบนี้จึงมีเรื่องจริงเกิดขึ้นว่า “น้องเขยผู้เขียนเข้ามาอยู่บ้านตามธรรมเนียมการแต่งงานของสังคมไทย แต่เกิดขัดใจกันกับคนข้างบ้านซึ่งเป็นคนนอกที่เข้ามาอยู่ในครอบครัวญาติของเรา เมื่อต่างก็เป็นคนนอกของสายใยครอบครัว การคิดร้ายต่อกันก็มีขึ้นอันเนื่องมาจากความขัดใจกัน การคิดร้ายนี้เกิดขึ้นแต่เรามาทราบภายหลัง
คือว่า คนนอกของครอบครัวญาตินั้นไปจ้างนักเลงต่างถิ่นมาทำร้ายร่างกาย นักเลงบ้านนอกนั้นมีสัจจะ แม้จะเป็นนักเลงก็มีหลักยึดมั่นบางประการแบบคนโบราณ เขาเล่าให้ฟังภายหลังว่าถูกว่าจ้างให้มาทำร้าย ซึ่งตอนแรกไม่รู้ว่าเป็นใครเมื่อรับงานมาแล้วก็สืบหาเป้า เมื่อรู้ว่าเป็นลูกเขยพ่อของผู้เขียน (หรือเป็นน้องเขยผู้เขียน) เขาก็บอกเลิกงานนี้เสีย เหตุผลเพราะว่า “อดีตเขาเคยมากินข้าวบ้านหลังนี้ ตระกูลนี้เคยช่วยเหลือพี่น้องเขาไว้ในอดีต”
ทำไมนักเลงโบราณยังมีสำนึก ที่คนก่อนๆมักเรียกกันว่า “สำนึกข้าวแดงแกงร้อน” ค่านิยมอันนี้มันเป็นสายใยรัดความสัมพันธ์ต่อกันไว้ ค่านิยมนี้จะเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากคำว่า “สำนึก” ความสำนึกนี้มองอย่างผิวเผินก็เป็นสิ่งน่าทนุถนอมกล่อมเกลี้ยง เพราะคุณค่ามันดูดี ใครต่อใครสมัยใหม่อาจเรียกมันว่า นี่คือ “ทุนอย่างหนึ่งของสังคมไทย” จะเป็นทุนทางวัฒนธรรมที่เป็นแรงเกาะเกี่ยวแก่กัน (Social adhesion) อันนี้หรือเปล่าคนโบราณพบกันจึงมักเรียกกินข้าว
แต่ในขณะเดียวกันก็มีคนวิเคราะห์ว่า เจ้าแรงเกาะเกี่ยวทางสำนึกนี้ มันไม่ได้มีเฉพาะในแนวระนาบ(Horizontal line) มันมีในแนวดิ่งด้วย (Vertical line) ที่เรียกว่าระบบอุปถัมภ์ ซึ่งแปลกที่ว่าแรงเกาะเกี่ยวทางแนวราบจะลดลง แต่แรงเกาะเกี่ยวทางแนวตั้งยังพัฒนาเข้มแข็งมากขึ้นโดยเฉพาะสังคมที่มีอำนาจและผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง ที่ชนบทไทยโดยเฉพาะที่ดงหลวงยังสัมผัสได้ถึง “สำนึก” และ “แรงเกาะเกี่ยวในแนวราบ” ดังกล่าวอย่างเห็นได้ชัด มีตัวอย่างเช่น ความยึดถือในลัทธิเฉลี่ยสมบูรณ์ ที่จนก็จนเท่ากันหมด รวยก็ต้องรวยเท่ากัน อะไรทำนองนี้
แต่เรื่องจริงก็คือ ผู้นำไทโซ่คนหนึ่ง ทางโครงการที่ผู้เขียนทำงานได้ก่อสร้างถนนในหมู่บ้านขึ้น ชาวบ้านชอบถนนเพราะทำให้การเดินทางสะดวก แต่ผลกระทบการก่อสร้างทางก็มี คือ ถนนไปขวางทางน้ำที่ชาวบ้านเคยได้น้ำไปใช้ประโยชน์ต่างๆ เมื่อสร้างถนนขวางน้ำก็ไม่ไหล หรือไหลไม่สะดวก เกิดการต่อรองให้เอาท่อน้ำมาใส่ แต่ช่างและผู้รับเหมาไม่อยากเพิ่มงานที่เสร็จแล้ว (แม้ว่าการเสนอให้แก้ไขจะเรียกร้องมานานตั้งแต่ถนนยังไม่เสร็จ แต่ไม่แก้ไข) การเจรจาเกิดขึ้น ต่อหน้าผู้เขียน ผลสรุปคือ ให้เจาะถนนแล้วเอาท่อใส่ลงไปโดยให้ชาวบ้านทำเอง ทางผู้รับเหมาออกค่าแรงและวัสดุให้
วันต่อมาผู้นำไทโซ่ท่านนั้นไม่ยอมรับท่อและเงินค่าแรงอะไรนั่น พร้อมกับกล่าวว่า ปัญหานี้ไม่ใช่มีเพียงจุดเดียว ตลอดสายมีหลายจุด หากจะทำต้องทำทั้งสาย ทุกจุดที่ชาวบ้านเดือดร้อน ดังนั้นเขาจึงไม่รับ หากจะจ่ายต้องจ่ายให้ทุกคนเท่าเทียมกัน.. นี่คือสำนึกไทโซ่ นี่คือสำนึกแห่งลัทธิเฉลี่ยสมบูรณ์ นี่คือสำนึกของแรงเกาะเกี่ยวทางราบ ผู้เขียนรับรู้เรื่องสำนึกนี้ไปเต็มๆ
สวัสดีค่ะ
สำนึกของแรงเกาะเกี่ยวทางราบ เป็นสิ่งที่เริ่มจางหายไปจากสังคม.. เบิร์ดได้แนวทางในการทำงานชุมชนต้นแบบของ ชร.แล้วค่ะหลังจากงมหาต้นทุนที่ขาดหายไปอยู่นาน..ขอบคุณนะคะที่จุดประกาย ^ ^
สวัสดีครับคุณเบิร์ด