เรื่องเล่าจากดงหลวง 28 เมื่อโดน Blog Tag โดย.กาเหว่า


มองย้อนหลัง ย้อนเวลาแล้วก็คิดว่า ทางเดินชีวิตมันคดเคี้ยวจริงๆนะ แล้วนึกต่อไปว่าข้อผิดพลาดในอดีตทั้งขำ ทั้งเศร้า ทั้งทึ่ง และบางทีก็สมน้ำหน้าตัวเอง แต่ทั้งหมดก็สร้างให้เราเป็นเราในวันนี้นะ
ใครจะไปนึกว่าสักวันหนึ่งเราจะเอาเรื่องความลับที่เป็นความทรงจำของเรามาสู่สาธารณะ  แต่ขออนุญาตเป็นเรื่องที่แอบเก็บเอาไว้คนเดียวมาเผยก็แล้วกัน 

1. สมัยเด็ก ก็เหมือนเด็กบ้านนอกทั่วไปที่เล่นอะไรแบบเด็กๆ ที่แผลงๆก็มี ที่เสี่ยงๆก็มี ซน พ่อเป็นคนดุมาก โดนตีเป็นประจำ ครั้งหนึ่ง มีงานศพในหมู่บ้าน เด็กๆก็ตามพ่อแม่ไปงานด้วย เราก็ไปเล่นกับเพื่อนๆ มีเพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่งชวนไปหัดสูบบุหรีข้างกองฟางหลังบ้าน จุดไม้ขีดไฟแล้วไฟไหม้ลามมาถึงนิ้วมือจึงทิ้งก้านไม้ขีด ผลไฟไหม้กองฟางจนหมดกอง เราก็วิ่งหนี มีชาวบ้านที่มางานศพเห็นเราก็โดนพ่อลากมาตีต่อหน้าชาวบ้านทั้งหมู่บ้านที่มาช่วยกันดับไฟ  จำไปจนตายเลย

 

2.  เด็กบ้านนอกชอบรวมแก้ง อีกครั้งหนึ่งชวนกันไปตีผึ้งตามกอไผ่รอบวัดหลังป่าช้า เมื่อเจอรังผึ้งเราก็เป็นคนปีนขึ้นไป แล้วเอาบุหรี่สูบเอาควันพ่นใส่รังผึ้ง บุหรี่ที่ใช้สมัยนั้นเป็นบุหรี่แม่ขวัญของพื้นบ้านมวนด้วยใบตองใหญ่ๆ  สูบเอาควันแล้วก็พ่นรังผึ้งจนผึ้งเมาก็เขี่ยตัวผึ้งออกจากรังแล้วก็เอามีดคมๆตัด คอนผึ้ง มีครั้งหนึ่งผึ้งรังใหญ่มาก ต้องใช้ยาสูบหลายมวน ปรากฏว่าผึ้งไม่เมา  เราเมาคากอไผ่นั่นเอง เพื่อต้องช่วยกันแบบทุลักทุเลเอาเราลงมานอนอาเจียนเสียพักใหญ่  ผลไม่ได้ผึ้ง

 

3. เมื่อขึ้นเตรียมอุดมศึกษาพ่อส่งให้ไปเรียนที่ฝั่งธนบุรี โดยไปพักกับบ้านญาติ คนบ้านนอกมักจะมีของฝากติดมือเข้าไปให้เจ้าของบ้าน  ครั้งหนึ่งแม่เอาปลาร้าฝากไปให้คุณยาย เมื่อขึ้นรถเมล์ไป ปรากฏว่าถุงปลาร้าแตก !! ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหนคนเต็มรถเมล์ ต้องลงเอาทิ้งถังขยะ  แต่กลิ่นปลาร้ามันยังติดมือติดเสื้อผ้าตามเราไปอีก !!!! กว่าจะถึงบ้าน ผมก็นั่งสบายอยู่คนเดียวเพราะทุกคนหนีไปนั่งห่างๆหมด

 

4. เมื่อเรียนที่ มช. ปิดเทอมเราเข้าร่วมโครงการปราบหนูให้กับชาวเขาร่วมกับเพื่อนนักศึกษา 5 สถาบัน ทีมงานเราไปที่หมู่บ้านชาวเขา อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน โดยใช้ปลาแห้งผสมไซยาไนด์ ใส่ลงในกระบอกไม้ไผ่เอาไปวางในชายป่า วันนั้น ไก่มาจิกกินปลาแห้งกระจายออกจากกระบอกไม้ หมามากินต่อ แล้วอาเจียนออกมา หมูมากินต่อ ปรากฏว่าทั้งไก่ 5 ตัว หมา 2 ตัว หมู 1 ตัวตายเกลี้ยง หนูไม่ตายสักตัว วันต่อมานายอำเภอแม่สะเรียงเรียกพวกเราไปพบกล่าวว่า ชาวเขามาฟ้องว่าเราไปวางยาฆ่าหมูของเขา  ขอให้เราชดใช้ เพราะหมูที่ตายไปนั้นเขาเลี้ยงไว้เพื่อจะเอาไปขอสาวแต่งาน !!!

 

5. ตอนเรียน มช. คุณย่าเสียชีวิต ผมเอาชายผ้าถุงคุณย่าพกติดตัว วันหนึ่ง Roommate ต่างคณะเขาขโมยเครื่องพิมพ์ดีดไปจำนำ โดยเราไม่รู้ตัว แล้วจู่ๆเขาก็มาสารภาพว่าเขาขโมยไปและเอามาคืนให้แล้ว เพราะคืนนั้นเขาเห็นคนแก่มานั่งอยู่หัวเตียงเราเขาอธิบายรูปร่างหน้าตาแล้วเป็นคุณย่าเรา ทั้งๆที่ผมไม่เคยบอกว่าคุณย่าเสียชีวิตและเราเอาชายผ้านุ่งคุณย่าพกติดตัวด้วย !!

มองย้อนหลัง ย้อนเวลาแล้วก็คิดว่า ทางเดินชีวิตมันคดเคี้ยวจริงๆนะ แล้วนึกต่อไปว่าข้อผิดพลาดในอดีตทั้งขำ ทั้งเศร้า ทั้งทึ่ง และบางทีก็สมน้ำหน้าตัวเอง แต่ทั้งหมดก็สร้างให้เราเป็นเราในวันนี้นะ

คำสำคัญ (Tags): #ความทรงจำ
หมายเลขบันทึก: 79769เขียนเมื่อ 21 กุมภาพันธ์ 2007 00:35 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 17:29 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (11)
อ่านข้อ 5 ยามดึกแล้วขนลุกเลยค่ะ ไปนอนดีกว่า ราตรีสวัสดิ์ค่ะ

คนโบราณเสียชีวิตแล้วจะเก็บร่างไว้ที่บ้าน ความสนิทสนมจนไม่ได้คิดเป็นอื่น สังคมแต่ก่อนดีนะ นอนเถอะ.. พี่ก็ไปเหมือนกัน

คุณตาทวดหนูก็เหมือนกันค่ะ เก็บไว้ที่บ้านไทยแบบโบราณ เด็กๆกลัวบรรยากาศมากเลยค่ะ บ้านมืดๆทึมๆ ห้องน้ำอยู่หลังบ้าน บรื๋อ...ไม่ไหวแล้ว..

พี่ บางทราย  คะ

เรื่องที่ 4 นี่ทั้งขำทั้งเศร้า ทั้งเรียนรู้เลยค่ะ....

นึกถึงกิจกรรมค่ายของพยาบาลตอนที่เรียนปี 3-4 จำได้ว่าไปวัดความดันโลหิตจนหูเจ็บ..เพราะชาวบ้านเขาปากต่อปากก็ยกกันมาทั้งตำบล มาให้ตรวจสุขภาพ คนสอนการใช้ยาให้ถูกวิธีก็คอแห้งหมดเสียง กว่าจะเลิกงานแต่ละวันก็สองทุ่ม ได้กินข้าวแฉะมั่ง ดิบมั่ง ตามศักยภาพของแม่ครัวจำเป็นทั้งหลาย ....แต่ก็สนุกดีค่ะ  

เรื่องข้อ 4 สอนพี่ว่า การทำงานเพื่อคนอื่นนั้น ตั้งใจดีเพียงอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีความละเอียด รอบคอบ มีสติด้วย มิเช่นนั้น จะถูกเข้าใจผิด หรือถูกสรุปว่าเป็นความตั้งใจดี แต่ประสงค์ร้ายไปเสีย..

พี่บางทราย จากข้อ 4 นึกถึงเรื่องนึง ตอนนั้นแฟนเรียนหมออยู่ที่ม.ช. เขาเล่าว่าไปออกค่ายกันระหว่างแพทย์ ทันตแพทย์ และพยาบาลที่ชุมชนพวกกระเหรี่ยง แล้วเขามีความเชื่อถือหมอผี วันนึงเด็กเป็นไข้อาการหนัก แล้วหมอผีก็เอาน้ำมนต์ซัดใส่เด็ก นักศึกษากลุ่มหนึ่งบอกว่าให้นำเด็กลงไปรักษาข้างล่างในเมือง(พยาบาลและแพทย์) ส่วนพวกทันตแพทย์บอกว่าถ้านำเด็กลงไปถ้าตายระหว่างทาง เขาก็จะไม่เชื่อถือพวกเราอีกเลย ความเห็นเป็นสองฝ่าย ส่วนหมอผีก็บอกว่าผีเข้า สุดท้ายเด็กก็ตายจริงๆ หลังจากนั้นชาวกะเหรี่ยงก็ให้ความเชื่อถือพวกนักศึกษาแพทย์ พยาบาล เป็นอย่างมาก เริ่มเปิดใจรับการแพทย์สมัยใหม่ แต่นักศึกษาพยาบาล โกรธน.ศ.แพทย์ ทันตแพทย์ไปเลยค่ะ ส่วนพวกกระเหรี่ยงก็ปลื้มแฟนมากให้เอาหมูมาให้ บอกว่าให้เอาไปขอสาวกระเหรี่ยงด้วยค่ะ....

นอกจากจะเป็น"รุ่นพี่" ที่ มช.แล้ว พี่ไพศาลยังมีประสบการณ์สร้างวีรกรรมที่สนุกสนานดีครับ

 

น้องลูกหว้า  น่าเห็นใจทั้งคู่เลยและเป็นความขัดแย้งเสมอระหว่างหลักการกับลักษณะทางวัฒนธรรมความเชื่อของชุมชน มันอาจจะเกิดในกรณีอื่นๆอีกมาก เหมือนที่ดงหลวงที่พี่ทำงานอยู่ ชาวเผ่าไทโซ่เขาบอกว่าเขาเชื่อถือผีมากกว่าเชื่อถือพระ..... ถึงกับมีหมู่บ้านหนึ่งสร้างวัดขึ้นแต่ไม่นิมนต์พระมาอยู่อาศัย แต่เมื่อจะทำพิธีใดๆก็เอาคนในชุมชนนุ่งห่มขาวมาเป็นผู้ทำพิธีแทน...  ความซับซ้อนของชุมชนจึงต้อง "เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา" ตามที่พระองค์ท่านพระราชทานมาให้
น้องจตุพรครับ  สมัยที่เรียนคณะศึกษาศาสตร์นั้นน่ะ ยังเดินตามคันนาไปคณะอยู่เลย  ต้นลำไยที่คณะเต็มไปหมด สนุกมาก รุ่นของพี่ยังชุมนุมกันทุกปี และปีหน้าจะมาจัดที่เชียงใหม่นี่ครับ

พี่ไพศาลครับ

ต้นลำใยยังอยู่ครับ ศึกษาศาสตร์ก็เปลี่ยนไปมาก แต่ยังมีตึกเก่าๆให้เรารำลึกอยู่

ครั้งหนึ่งที่ผมจบจากตรงนั้น (ช่วง ป.โท) ตอนพระราชทานปริญญาบัตร พวกเรานั่งอยู่ระหว่างตึก น้องขึ้นไปบนตึกเต็มไปหมด และได้โปรยกลีบดอกกุหลาบลงมา เหมือนภาพฝันเลยครับ...ผมประทับใจมาก

น้องจตุพรครับ นึกย้อนไปสมัยนั้นเรารักกันมากเพราะเป็นคณะที่ห่างไกลโดดเดี่ยวและมีนักศึกษาหญิงมากถึง 70% ที่สำคัญสถาบันได้สร้างอุดมการณ์รับใช้สังคมมาครับ

 อ้อ...น้องจตุพร พี่ได้รับหนังสือแล้ว ชอบมาก ขอบคุณมากครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท