ความที่ดิฉันทำงานเกี่ยวข้องกับการดูแลผู้ป่วยเบาหวาน จึงมักมีนักศึกษาพยาบาลระดับปริญญาโทมาปรึกษาเรื่องวิทยานิพนธ์ บางรายมาอบรมการจัดกิจกรรมให้ผู้ป่วยเบาหวาน แต่ใจจริงบอกว่าอยากมาหาหัวข้อวิทยานิพนธ์ก็มี
เมื่อสัปดาห์ก่อน เจอนักศึกษา ๒ คนมาปรึกษาว่าตนเองทำงานกับผู้ป่วยเบาหวาน แต่พอเสนอหัวข้อวิทยานิพนธ์ อาจารย์ที่ดูแลก็บอกว่า “เรื่องเบาหวานคนทำเยอะแล้ว น่าจะทำเรื่องอื่นดีกว่า” อีกรายมาคุยทีหลังแต่ฟังแล้วดิฉันเดาได้ว่าคงเรียนที่สถาบันเดียวกับคนแรก เดาถูกเสียด้วย น้องคนนี้เล่าว่า “อาจารย์บอกว่างานวิจัยเรื่องเบาหวานอิ่มตัวแล้ว”
ปัญหาส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะ target population ของนักศึกษาและอาจารย์ไม่ตรงกัน ถ้าอาจารย์สนใจกลุ่มผู้ติดเชื้อ กลุ่มผู้สูงอายุ ก็อาจจะรู้เรื่องเกี่ยวกับเบาหวานไม่ลึกพอ ขณะเดียวกันนักศึกษาก็ยังไม่ได้ focus ให้ชัดเจนว่าตนเองสนใจเรื่องอะไรเกี่ยวกับผู้ป่วยเบาหวาน ไม่รู้ว่ามีช่องว่างของความรู้เรื่องใดอยู่บ้าง เพราะยังทบทวนหรือวิเคราะห์ความรู้ปฏิบัติและความรู้ทฤษฏีไม่รอบด้านพอ จึงไม่สามารถยืนหยัดความคิดของตนเองได้อย่างมีเหตุผล (อ่านแล้วอย่า e-mail มาถามหัวข้อนะคะ ไม่ตอบแน่นอน)
การที่นักศึกษามี target population ที่ชัดเจนและแน่นอนว่าเขาจะกลับไปทำงานกับประชากรกลุ่มนี้ต่อ น่าจะเป็นเรื่องที่ดีมากกว่าจะให้ไปทำวิจัยในกลุ่มที่ไม่เกี่ยวข้อง อาจารย์มีหน้าที่ให้คำปรึกษา ชี้แนะให้แนวทาง แนะนำแหล่งประโยชน์ทั้งในด้านของแหล่งศึกษาค้นคว้าและแหล่งประโยชน์ด้านตัวบุคคล และสนับสนุนให้ทำงานต่อได้
คำตอบปัดๆ ว่า “เยอะแล้ว” “อิ่มตัวแล้ว” สร้างความวิตกกังวลและสับสนกับนักศึกษา เกิดความสองจิตสองใจว่า “เอาตามอาจารย์เขาว่าดีไหม จะได้เรียนจบ” โดยส่วนตัวดิฉันเชื่อว่าไม่มีความรู้เรื่องใดที่อิ่มตัวแล้ว และคงไม่มีอาจารย์ท่านใดที่รู้ดีไปทุกเรื่อง ทางออกที่น่าจะช่วยได้คือช่วยตั้งคำถามให้นักศึกษาได้คิด ตั้งคำถามหลายๆ ครั้ง จากกว้างไปแคบ จากผิวๆ จนลงลึก ในที่สุดก็น่าจะได้โจทย์วิจัยที่เหมาะสม
วัลลา ตันตโยทัย วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐
อ.วิบุลเขียนต่อยอดบันทึกนี้ไว้ที่ http://gotoknow.org/blog/wwibul/75796
ส่วนดิฉันคิดเห็นว่า เยาวชนไทยยังขาดทักษะในการคิดโจทย์วิจัยหรือโจทย์ในการพัฒนาแนวคิดใหม่ๆ ค่ะ
การฝึกเขียน ฝึกอ่าน และ ฝึกฟัง จะเป็นตัวช่วยในการฝึกคิดที่ดีค่ะ
ขอบคุณอาจารย์มากค่ะทำให้หนูมีกำลังใจที่จะทำวิจัยเกี่ยวกับเบาหวานมากขึ้น