เรียนหมอ...เรียนชีวิต


รับผิดชอบชีวิตคน

          ฉันเข้าไปเรียนหมอได้สมใจพ่อและแม่แล้ว  แต่จะถามว่าสมใจฉันไหม  ไม่หรอกค่ะฉันยังไม่รู้จักอาชีพนี้ดีเท่าไหร่เลย  จะว่าไปแล้ว อาชีพอื่นๆก็แทบไม่รู้จัก ทำงานแบงค์มันทำอะไรกันมั่งนะ สถาปนิกทำอะไร  ผู้พิพากษาหละ  รู้แต่ว่าถูกกรอกหูเกือบทุกวันว่าต้องเรียนหมอ  พ่อก็บอกว่าต้องเรียนหมอแทบจะทุกวันจนบางครั้งมีรำคาญกันบ้าง  อาจารย์ที่ รร.ก็บอกว่าคะแนนอย่างนี้เธอควรเรียนหมอ  เอาก็เอาก็ตอนนั้นยังไม่รู้จะเป็นอะไรดี  อยากเป็นวิศวกรเพราะคิดว่าเท่ดี  ไม่ได้รู้เลยว่า เค้าทำงานยังไงกันนะ           

          ปีหนึ่งถึงปีสาม  เรียนอยู่ในตำรากะอาจารย์น้อยใหญ่ทั้งหลาย  อันมีกระต่าย ฉลาม กบ  แมลงสาบ    ตอนจับกระต่ายลงถังแล้วต้องปิดฝาใส่ยาสลบให้มันดมนั้น  ฉันรู้สึกหดหู่เหมือนกันนะ  แต่ก็ต้องทำค่ะ  เพราะไม่งั้นเรียนกายวิภาคกระต่ายไม่ได้  พอถึงอาจารย์ใหญ่เป็นการเรียนกายวิภาคของคนจริงๆแต่เป็นคนตาย ก็สนุกดีค่ะ พอเวลาชินแล้วเราก็กินของขบเคี้ยวจิ้มกินข้างๆอาจารย์ใหญ่กันได้  ช่วงปีหนึ่งถึงสามนี่จะสนุกมากแม้จะเรียนหนัก  แต่เรายังไม่ได้เจอกับ คนไข้จริงๆ  ยังไม่ต้องรับผิดชอบชีวิตใคร

             ปี4 ละ  เริ่มรู้ถึงการต้องรับผิดชอบชีวิตคนที่จะมารักษากับเราแล้วค่ะ  วันๆนึงเวียนเข้าเวียนออกซักประวัติคนไข้จนสะอาด  คนไข้คงจะเบื่อหมอน้อยๆเหล่านี้เหมือนกันนะ  ถามอยู่ได้เวลานอนหลับอยู่บางทียังไปปลุกถามอาการเลย 555 เพราะว่าลืมถาม หัดตรวจร่างกายกับผู้ป่วยจริงๆ จนบางครั้งสงสารคนไข้จังเลยต้องมาโดนหมอน้อยๆคลำตับจนเจ็บตับกันไปบ้าง หรือโดนเคาะปอดจนเอือมระอาต้องแกล้งทำเป็นหลับกันมั่ง งานหลักของเหล่านักศึกษาแพทย์ปี 4และ 5 คือทำแล็บ(lab)ค่ะ นับเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว  ย้อมสีสไลด์ดูเชื้อต่างๆที่เอามาจากคนไข้  เก็บอุจจาระ ปัสสาวะคนไข้เอาไปตรวจ เหนื่อยพอดูเลยค่ะ  แต่ยังไม่ค่อยผูกพันกับคนไข้เท่าไรนัก เพราะไม่ได้เป็นคนรักษาเอง  ตอนปี5 ก็คล้ายๆกับปี4 แหละค่ะ แต่คอยคุมน้องปี4 อีกทีนึง แจกแล็บให้ทำกัน  ได้เขียนใบออร์เดอร์สั่งยาบ้าง  เขียนใบส่งตรวจบ้าง ตอนปี5 นี่ค่อนข้างจะว่าง

                 ตอนผ่านวิชาสูตินรีเวช  ฉันรู้ตัวเองเลยว่าไม่ไหว ฉันไม่เหมาะกับแผนกนี้เอาเสียเลย  ตอนทำคลอดยังสนุกสนานดี  แต่พอการคลอดมีปัญหา ฉันรู้เลยว่า มันวิกฤติมากเพราะต้องดูแลถึงสองชีวิต แถมถ้าเป็นแฝดยิ่งหลายชีวิตเข้าไปอีก  ที่ทนไม่ไหวเลยคือการที่ต้องเอาเด็กออกเนื่องจากภาวะจำเป็นต่างๆเช่นแม่อาจมีโรคบางอย่างที่ต้องหยุดการตั้งครรภ์ ฉันยังจำภาพเด็กอายุ 12-16 อาทิตย์ได้มั๊ง  ออกมานอนขยับแขนขา หัวใจเต้น แล้วก็ค่อยๆเสียชีวิตไป   ฉันยืนดูจนเค้าเก็บร่างเด็กคนนั้นไป คืนนั้นฉันนอนนึกถึงภาพนั้นแทบจะนอนไม่ หลับเลย

                เรียนหมอนี่ จะค่อนข้างเบาตอนปีหนึ่ง ปีสามและปีห้าค่ะ  หมายถึงว่าเทียบกะปี 2,4 และ 6 นะคะ แต่จริงๆแล้วไม่มีปีไหนที่สบายหรอกค่ะ

                ขึ้นปี 6 ซะที ดีใจจัง ใกล้จะจบแล้วสิ  ในใจฉันเริ่มระส่ำระสายเพราะปีนี้ต้องหัดตัดสินใจด้วยตัวเองแล้ว  จากเดิมที่ผ่านมา มีรุ่นพี่คุ้มกะลาหัวตลอด  ฉันเริ่มจากการฝึกแผนกศัลยกรรมที่ต่างจังหวัด  วันที่สามของการอยู่แผนกนี้ ขณะที่พวกเรากำลังราวด์วอร์ดกัน จนถึงเตียงผู้ป่วยท้ายๆละ ขณะที่เรากำลังคุยซักถามอาการ  เป็นลุงอายุประมาณ 60 น่าจะได้ แกนั่งอยู่บนเตียง ตอบคำถามพวกเราไปเรื่อยๆ  อยู่ๆก็ตาเหลือกหงายหลังตึงลงไป  หยุดหายใจไปเสียเฉยๆ 

                 พี่หมอแพทย์ประจำบ้านปี3 รีบๆใส่ท่อช่วยหายใจปั๊มหัวใจ  แต่ไม่สามารถช่วยชีวิตคนไข้กลับมาได้  แกเส้นเลือดแดงหลักแตกที่บริเวณช่องอก (rupture aortic aneurysm) เฮ้อคนเรา บทจะตายก็ตายง่ายดายจริงๆ  ฉันเริ่มสำนึกว่า  ความตายมันใกล้ตัวจริงๆดูสิ พูดคุยกันอยู่แท้ๆหงายหลังตึงลงไปตายเลย  ฉันเห็นความตายล้อมรอบตัวเองแทบทุกวัน  เวลาอยู่เวรกลางคืน  ต้องวิ่งไปปั๊มช่วยชีวิตคนไข้เป็นประจำ  จนเริ่มชินชา

               มีคนไข้ผู้หญิงคนหนึ่งของแผนกศัลยกรรมอายุประมาณ 40  มารักษาด้วยเรื่องนิ่วในไตข้างซ้าย  มันอุดที่กรวยไต  จนไตข้างนี้บวมน้ำ  รอการตรวจไตด้วยอัลตร้าซาวด์อยู่  คนไข้เยอะมากๆค่ะ คิวตรวจเลยยาวมากจนอยู่มาวันนึงแกเริ่มมีไข้  ปวดท้องด้านซ้าย  พี่หมอแพทย์ประจำบ้านให้ฉันรีบไปขอตรวจemergency ได้ผลตรวจมาคิดว่าคงมีหนองที่ไตข้างซ้าย  ต้องรีบผ่าตัดด่วนก่อนเข้าห้องผ่าตัด คนไข้กระวนกระวายใจมาก พูดกับฉันซ้ำๆว่า "หมอฉันจะตายไหม  ฉันยังตายไม่ได้นะลูกฉันยังเล็กอยู่ " ฉันได้แต่ปลอบใจแกว่าไม่หรอกๆ ป้าต้องรอดๆ ป้าไม่ตายหรอก......... 

               ฉันไม่ได้เข้าห้องผ่าตัดคนไข้รายนี้  เพราะต้องคอยรับคนไข้ที่วอร์ด อีกประมาณสองชม.ถัดมาพยาบาลบอกฉันว่าคนไข้คนนี้เสียชีวิตบนเตียงผ่าตัด

                  ฉันรู้สึกผิดกับคนไข้รายนี้มาก  นอนแทบไม่หลับ คิดวนเวียนตลอดเกิดอะไรขึ้น  พวกเราทำการรักษาช้าไปหรือเปล่า  เค้ามาตั้งหลายวันแล้วแต่ได้มารักษาในวันนี้  ฉันคิดโทษโน่นโทษนี่ไปต่างๆนานา คนยังไม่อยากตายแต่ก็ต้องตาย  เค้าจะโกรธฉันไหมที่บอกเค้าว่าไม่ตายหรอก แต่เค้าก็ตาย ฉันมารู้ตัวเองทีหลังว่า เศร้ากะคนไข้รายนี้นานหลายปีเลย 

                   ในชีวิตการเรียนหมอและเป็นหมอมานานหลายปี ฉันพบการเกิดแก่เจ็บตายวนเวียนรอบๆชีวิตตลอด   จนมีคำถามในใจตัวเองเสมอๆว่า  คนเราเกิดมาทำไมกันนะ........  

หมายเลขบันทึก: 72840เขียนเมื่อ 16 มกราคม 2007 00:47 น. ()แก้ไขเมื่อ 18 มิถุนายน 2012 17:17 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (26)

ตุณหมอครับ

ผมขอมองต่างมุมครับ

ผมเชื่อในกฎ Losses and Gains ครับ

ถ้าเราจะพูดอย่างนั้นก็ได้สำหรับเรื่องส่วนตัว

แต่ สมมตินะครับ ว่าทุกคนคิดอย่างนั้น สังคมจะอยู่อย่างไร

ผมคิดว่า เราต้องมีคนที่มีจิตสาธารณะ ที่ผมเชื่อว่าคุณหมอมีแน่นอน ที่จะช่วยกันจรรโลงสังคม ยอมเสี่ยง ยอมลำบาก ทำหน้าที่แทนคนอื่น ให้คนอื่นได้มีความทุกข์น้อยลง ครับ

ที่คนที่เสียมากก็ได้มาก คนโลภมาก(ในทางกลับกัน) กลับจะเสียมากครับ

แม้ในใจใครจะคิดอะไร ผมยังนับถือคนที่เสียสละ และทำหน้าที่เพื่อจรรโลงสังคมอยู่ดี

ผมยอมรับว่า หมอส่วนใหญ่มีจิตใจเช่นนั้น แต่ผมจะรู้สึกไม่ค่อยดีนัก กับ "แพทย์พานิชย์" บางคน ที่ดูเหมือนจะเน้นการหาเงิน และ "กำไร" มากกว่าการช่วยเหลือสังคม แต่ก็มีไม่มาก

ผมคิดว่าคนที่เป็นหมอที่เสียสละ เป็นบุคคลที่ "ได้" อย่างไม่ต้องเรียกร้องใดๆ จากสังคม ที่ แน่นอนละครับ เกิดมาจากที่หมอส่วนใหญ่ได้จ่ายไปนั่นเอง

ผมคิดอย่างนี้ครับ จึงเห็นด้วยแต่ไม่บังคับให้ลูกเลือกเรียนหมอ (ใน http://gotoknow.org/blog/sawaengkku/71775)

และคาดว่าถ้าลูกไม่เปลี่ยนใจ ก็น่าจะเริ่มปีนี้แหละครับ

ข้อความนี้โดนใจผมมากครับ

อนุโมทนาค่ะ คุณหมอ  try,

ไม่ใช่แต่คุณหมอหรอกค่ะ ที่ไม่ทราบว่าคนเรียนสายอื่นเขาทำงานอะไร   ไม่ต้องกังวลหรือน้อยใจไปหรอกค่ะ

ตัวเองเรียนสายศิลป์  และไม่ได้มีญาติสายวิทย์มากนัก ก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ ว่าบรรดาหมอ ๆ  หรือวิศวะ เขาทำงานกันยังไง

ในโลกนี้มีเรื่องที่เรายังไม่ทราบอีกเยอะน่ะค่ะ มันเป็น"ธรรมดา" น่ะนะคะ ไม่แปลกหรอก อย่าไปคิดในแง่ลบชนิดว่าจะต้องเอามาแบกเป็นทุกข์เลยค่ะ

ส่วนตัวแล้ว  คิดว่าคนที่เป็นหมอได้นั้นมีบุญมาก เพราะของเก่าสร้างมาดี  จึงมีปัญญา สามารถเลือกที่จะเรียนได้

และมีผู้สนับสนุนให้เรียนได้ด้วย  ก็แสดงว่าสร้างกุศลมาสมบูรณ์พร้อม

ยิ่งไปกว่านั้น  ยิ่งอ่านที่คุณหมอเขียน ยิ่งเห็นเลยว่า  คนที่เรียนหมอนั้น  มีบุญที่สุดที่ได้ดูตัวอย่างที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้เหมือนเป็นแบบฝึกหัดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันเลย  ตรงนี้ถือว่าสุดยอดแล้วจริง ๆ  ค่ะ

ภาษาเด็กวัดห้วยส้มก็ต้องบอกว่า อิจฉาหนอ  ๆ ๆ ฮิ ๆ

ทำเอาเราเด็กศิลป์ฝรั่งเศสไม่รู้จะคอมเม้นท์อะไรดีเลย นอกจากอยากบอกว่า ขอบคุณมาก ๆที่มาเขียนเล่าให้ฟังค่ะ

เขียนอีกนะคะ อยากอ่าน  

มุมมองเรื่อง เกิดแก่เจ็บตาย  เป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดแล้ว ที่คนมักมองข้าม ทั้ง ๆ ที่มันก็ใกล้ตัวที่สุดนี่ล่ะค่ะ คุณหมอ  try

อ้อ, ไหนๆ  ก็ไหนๆ แล้ว  ปีนี้ตัวเองอายุมากแล้ว สายตาไม่ค่อยดี คุณหมอช่วยทำ font  เป็นขนาดคนแก่อ่านได้ง่ายหน่อยได้ไหมคะ  ฮิ  ๆ  ขอบคุณค่ะ

แล้วเชื่อแล้วค่ะว่าเป็นเด็กเรียน  มีไฮไลท์หลายสีไปหมด   ต้องการเน้นหลายประเด็นเลยใช่ไหมคะ?

ในหน้าแรกของเวบ  ดูเหมือนจะมีคุณหมออีกท่านหนึ่ง ชื่อคุณหมอวัลลภ หรือไงเนี่ยน่ะค่ะ  เขียนแนะนำเรื่องการเขียนบล๊อกให้อ่านง่าย สบายตาเอาไว้

ถ้าหาเจอจะนำมาแปะฝากให้ก็แล้วกันนะคะ

ตัวเองก็ยังต้องแก้ไขไปเรื่อย ๆ เหมือนกันค่ะ  html editor ที่นี่ก็ชอบรวนบ่อย ๆ  ถ้าเกิดก๊อปมาแปะจาก Word น่ะนะคะ

ยังไงก็จะตามอ่านของคุณหมอค่ะ เพราะเนื้อหามีค่าอย่างนี้สำคัญที่สุดแล้ว

สวัสดีค่ะ,

ณัชร

คำแนะนำเรื่องการเขียนบล๊อก อยู่ด้านล่าง ๆ ของคอมเม้นท์ค่ะ คุณ try

http://gotoknow.org/blog/tutorial/72509

 ขอบคุณคุณณัชร มากค่ะ ที่ช่วยหามาให้ เพราะบลอกเนี่ยที่แปะรูปเป็นก็เพราะคุณณัชรนี่แหละค่ะ ที่เขียนบอกในบลอกของอาจารย์พิชัยหนะค่ะ  ส่วนเรื่องสีสันนั้น จริงๆแล้วหมอเป็นคนชอบสีสัน  แต่บางอ้นก็ตั้งใจเน้นจริงๆด้วยเหมือนกัน

   555 สายตาเริ่มยาวไกลเหมือนกันแล้วเหรอคะ

    จะพยายามเขียนให้อ่านง่ายๆไม่แสบตานะคะ

ชีวิตทุกชีวิตมีทางของมัน

เหมือนกับที่ใครก็จำไม่ได้แล้วพูดว่า

Every life has it's way...

พระพุทธองค์จึงทรงตรัสไว้ว่า

ทุกชีวิตล้วนเป็นไปตามกรรม

มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นที่พึ่งและเป็นเผ่าพันธ์

ดังนั้น กรรมจึงจำแนกให้ งาม ทรามและประณีตแตกต่างกัน

การที่คุณหมอได้เป็นหมอนั้น คงไม่ได้เป็นเพราะเหตุบังเอิญ แต่เป็นเพราะกรรมจำแนก

และเป็นเพราะเหตุที่หมอเองทำไว้

หากคิดให้ดี เป็นหมอทำให้ใกล้ธรรม เพราะประสบกับวัฏฏะทุกข์อย่างใกล้ชิด...อย่างที่หมอเล่ามา

ใครละ จะใกล้ชิดกับความเกิด แก่ เจ็บ ตาย กว่าหมอ?

จากเหตุนั้นมาถึงเหตุนี้ จึงทำให้หมอสนใจธรรมและหันมาใกล้ธรรม

เขียนบล็อกได้ดี มีคนมาอ่าน และให้ธรรมแก่คนเป็นปัจจัยหนึ่งที่สร้างบารมีธรรมครับ

ว่าแต่ นอกจากตัวอักษรเล็กแล้ว(ตามหนูณัชร(เริ่มแก่)บอกแล้ว)

ระบายสีมากสีไปมั้ยเอ่ย?

   เอ ตัวหนังสือที่คุณณัชร กับ อาจารย์พิชัยเห็นนี่ ตัวเล็กสักขนาดไหนคะ 12 หรือ 14 เอ่ย  เพราะหน้าจอของหมอตัวมันโตค่ะ เลยสงสัยว่าจะเห็นไม่เหมือนกัน ต้องไปแก้ตรงไหนหนะค่ะ ตามไปอ่านที่คุณณัชรบอกก็หาเรื่อง font ไม่เจอ ช่วยบอกหน่อยค่ะ เรื่องคอมนี่ไม่เอาไหนเลยจริงๆ

ตามมาอ่านธรรมะของอาจารย์ แล้วก็อนุโมทนาด้วยค่ะ

แล้วก็ขออนุญาต ขอโอกาสแก้ Grammar ให้ด้วยนะคะ  คือที่จริงแล้วเป็น its น่ะค่ะอาจารย์  ไม่ใช่ it's

แต่ไม่ต้องกังวลหรอกนะคะ  เป็นหนึ่งในสิบยอดฮิตคำผิดฝรั่งค่ะ  คือ ฝรั่งเองก็ยังใช้ผิดประจำ  เพราะฉะนั้นอะลุ้มอล่วยให้ว่า อาจารย์ทันสมัยค่ะ  คือพลอยผิดตามฝรั่งไปด้วย แหะ ๆ

ส่วนเรื่องตกแต่งหน้าบล๊อกนั้น  ก็แล้วแต่คุณหมอเถอะค่ะ

คิดว่าคุณหมอคงต้องการสื่ออะไรออกมาน่ะค่ะ (เพียงแต่ว่าหนูก็ไม่เก่งศิลปะชนิดที่บอกได้ด้วยว่าคืออะไร แต่ที่แน่ ๆ คือหนูเวียนหัวกับสารพัดสีที่ติดกันเป็นพืดเหมือนกันล่ะค่ะอาจารย์ แหะ ๆ) 

ขนาดตัวฟ้อนท์นั้น เล็กมาก  แทบจะเรียกได้ว่ามองตาเปล่าแทบจะไม่เห็นเลยนะคะ  แหะ ๆ  คือว่าคุณหมอใช้วิธีตัดแปะมาจาก Word ใช่ไหมคะ?

เห็นในคู่มือการใช้  เขาแนะนำว่า ให้ไปแปะแล้วเซฟใน text editor แล้วเซฟเป็น text file มาก่อนน่ะค่ะ  คือ ใน notepad ก็ได้น่ะค่ะ  คิดว่านะคะ

ส่วนเรื่องการปรับฟ้อนท์ในนี้  ถ้าเอามาแปะแล้วนั้น  สงสัยคงต้องคลิกที่ปุ่ม html  ในหน้าจอการตัดต่อน่ะค่ะ

หลังจากนั้น  คุณหมอต้องไปเล็งหาเอาเองว่า ขนาดฟ้อนท์มันอยู่ตรงไหน  แล้วแก้ไขเอาเอง

ทุกย่อหน้า จะมีขนาดของมันน่ะค่ะ  คิดว่านะคะ  เพราะไม่แน่ใจเรื่อง CSS Script

อีกวิธีที่ทำให้อ่านง่าย  ก็เหมือนปรับใน Word น่ะค่ะ

คือแก้ที่ paragraph  แหม...อธิบายลำบากน่ะค่ะ  คือ spacing อะไรอย่างนี้  ไม่แน่ใจว่ามันมีคำสั่งอะไรบ้างของ CSS เพราะใช้เดาเอาสุ่มจากปุ่มของ Word เวลาปรับย่อหน้าให้ดูสบายตา  แล้วมาเลือกใส่คำสั่งนั้นในสไตล์ของฟ้อนท์น่ะค่ะ

ถ้างง ก็คงต้องไปอ่านคู่มือการใช้ของทางเวบนี้  ที่อาจรย์จันทวรรณรวบรวมเอาไว้น่ะนะคะ  ง่ายที่สุด  ตัวเองก็ไปคลำ ๆ มาอยู่นานค่ะ  เพราะ CSS มันคำสั่งไม่เหมือน html ที่ใช้สร้างเวบสมัยเก่า

แต่วิธีง่าย ๆ ในการเริ่มสร้าง  คือ Keep it Simple เอาไว้ก่อนนี่ล่ะค่ะ  แล้วค่อย ๆ เติมลูกเล่นสีสันทีละอย่าง

แต่ถ้าเล่นเทโครมลงมาหมดทั้งจานสีอย่างนี้แล้ว  คนอ่านเหนื่อยหน่อยค่ะ แหะ ๆ  บอกแล้วไงคะว่าแก่แล้ว

สายตายังไม่ยาวหรอกค่ะ  แต่มันเหนื่อยเวลาต้องคอยปรับเปลี่ยนไปมาตลอดจากเล็กจิ๋วจิ้วไปจนใหญ่เบ้ง แล้วคอยหลบสีสันที่กระฉูดออกมาใส่น่ะค่ะ  กลัวมันชนหัวแตก  เพราะหนักและคมบาดใจมากแต่ละสีของคุณหมอ  มาทีเป็นปื้ด แหะ ๆ

กว่าจะอ่านจบ  เล่นเอามึนไปเลย

เป็นวิธีฝึกสติ และ สมาธิ ผู้อ่านหรือเปล่าคะ คุณหมอ? ฮิ ๆ

สวัสดีค่ะ,

ณัชร

หมอครับ แนะนำให้ใช้ font tahoma ขนาด 12 point สำหรับเนื้อเรื่อง หากเป็นหัวเรื่อง 14 point ครับ ใช้พิมพ์ใน word ก่อน หากจะย่อหน้าขึ้นบรรทัดใหม่ ให้กด shiftก่อนแล้วค่อย enter และกด space bar ไปกี่เคาะก็ตามใจ เมื่อเขียนจบแล้ว ค่อย copy แล้วPaste ที่ gotoknow แล้วค่อยระบายสี เน้นเอาในนี้ แต่ไม่ควรมากสีครับ ไม่ควรเกิน 2 สีในบันทึกหนึ่ง ยกเว้นอยากเขียนเรื่องไอติม หรือเรื่องรักหวานแหวว แต่ถ้าถนัดพิมพ์ใน gotoknow เลย มีวิธีเลือกขนาดตัวอักษร คือ เลือก haeding 1-3 สำหรับหัวเรื่อง หรือตัวเน้น ลองดูว่าขนาดใหญ่บึ้มพอใจหรือป่าว เนื้อเรื่อง เอา heading 4-6 หรือ paragraph ก็ได้ครับ จะได้ไม่มีปัญหาเรื่องตัวอักษรเล็กและเรื่องย่อหน้า
  • ขอบคุณอาจารย์กับคุณณัชรมากเลยค่ะ 
  • ตกลงสายตายังไม่ยาวไกลเหรอคะคุณณัชร งั้นอีกสักสองปีค่ะ  หมอล่วงหน้าไปก่อนนะคะ  เวลาไปร้านอาหารเมนูตัวน้อยๆนี่  แทบจะโมโหหิวเลยแหละ อยากจะขอแว่นขยายมาเสิร์ฟด้วย

สวัสดีครับน้องหมอ..

แวะมาอ่านครั้งแรกครับเพราะว่า  พี่เพิ่งเขียน Blog เสร็จ  แล้วก็ลองเข้ามาดูที่ main page ว่าของเราขึ้นหรือยังครับ..

เห็นบันทึกข้างล่างเราหนึ่งอัน  อ่านเรื่องแล้วน่าจะเป็นนักศึกษาแพทย์ก็เลยมาตามอ่านดูครับ

ขอชื่นชมในสิ่งที่เล่ามากเลยนะครับ  เป็นสิ่งที่ดีงามและสะท้อนถึงความคิดและจิใจอันดีงามของน้องหมอด้วยครับ  ถ้าพี่ระหัสรู้คงภูมิใจมากเลยนะครับ

   จะตามอ่านต่อไปและขอให้กำลังใจครับ

              Med CMU 4007156 รพ. ปาย ครับ

   

ขอบคุณค่ะที่เขียนเรื่องดีๆให้ได้รับรู้

เพิ่งได้รับรู้ว่าการเรียนแพทย์ในแต่ละปี มีรายละเอียด หนักหนา ประกอบกับประสบการณ์สอนชีวิตมากมายอย่างงี้นี่เอง

ไม่เคยคิดจะเรียนอะไรที่ต้องเกี่ยวข้องกับคน ไม่ชอบคุยกับคน เลยเรียนเกี่ยวกับคอมฯ แต่โชคชะตาพาไปให้ได้มาสอนคน ปัญหาแตกต่างกันค่ะ

เล่าเรื่องได้น่าติดตามนะคะ แล้วจะมาติดตามอ่านเรื่อยๆ ค่ะ

^____^

    เพิ่งมาเห็นคอมเม้นต์คุณหมอสุพัฒน์ ใจงามค่ะ ขอบคุณมากนะคะที่มาอ่าน เราลูกช้างเหมือนกันนะคะ 2707111 ค่ะ ใครมาเห็นห้ามเอาไปแทงหวยเน่อ

     ขอบคุณมากค่ะคุณ IS คุณ IS ไม่ลองเขียนดูเหรอคะ ดูจากคอมเม้นต์แล้วน่าจะเขียนได้ดีนะคะ  อยากเรียนคอมพิวเตอร์ด้วยจังค่ะ

    

ถ้ารหัส 27 หมายถึงปีที่เข้าเรียนมช. ผมคงต้องขอเรียกว่าน้องนะครับ
อ่านบันทึกชีวิตแพทย์ของน้องแล้วเพลินดี แต่มาสะดุดตรงคำว่า เศร้ากะคนไข้รายนี้นานหลายปีเลย


ผมเดาเอาว่า คงทำใจเรื่องนี้อยู่นาน อยากถามประสบการณ์ว่า ทำอย่างไรครับ เพื่อจะได้เป็นประโยชน์กับคนอื่นนะครับ


ผมเองไม่เคยเจอเหตุการณ์อย่างนั้น เพราะส่วนใหญ่จะเจอผู้ป่วยหนักๆ ก็มะเร็งทั้งนั้นนะครับ จึงมักจะพูดเผื่อไว้บ้างแล้ว


2445901

ขออนุญาต เอาบันทึกนี้ไปไว้ใน รวมบันทึก ของผม ที่นี่ นะครับ  

      สวัสดีค่ะ อาจารย์หมอเต็มศักดิ์

            ที่เศร้ามากเพราะ คิดว่าเค้ายังไม่น่าจะตาย อายุแค่ 40 เอง แถมเดินมาแบบสุขภาพโดยรวมยังดูดีอยู่ค่ะ สาเหตุก็แค่เป็นนิ่วเอง แล้วนอนรอการรักษาอยู่เพราะคิวยาว           

               แววตาของคนไข้ตอนที่กระวนกระวายนั้นก็มีส่วนทำให้ดิฉันรู้สึกผิด

 ขออภัยค่ะ เผลอกด tab มันกลายเป็นบันทึกไปเลย

ต่อนะคะ

        แววตานั้นฝังอยู่ในจิตใจดิฉันมากเลยค่ะ อาจารย์  แววตาคนที่ยังมีห่วง ยังไม่อยากตาย แล้วดิฉันก็ไม่คิดว่าเค้าจะตายด้วย จึงปลอบใจไปว่า ป้าไม่ตายหรอก ผลกลับออกมาตรงกันข้าม

        สองสามคืนช่วงนั้น ทำให้คิดวนเวียน นอนแทบไม่หลับ เพราะดิฉันรู้สึกผิด ไม่ว่าจะเป้นเรื่องที่เหมือนว่า เราให้การรักษาเค้าช้าไป ลุกเค้าต้องกำพร้าขาดแม่ มีความโกรธตัวเองด้วยค่ะที่เหมือนเราแพ้ รักษาคนไข้แล้วเค้าเสียชีวิต

        ดิฉันมาระลึกดูใจตัวเองได้ในตอนหลังหนะค่ะ ว่าเคสนี้ฝังใจมาก แล้วก็ค่อยๆทำใจได้ว่า บางอย่างผลก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เราคาดหวัง หลังจากเจอคนไข้มากขึ้นเรื่อยๆ คนไข้บางคนดูเหมือนโอกาสรอดแทบไม่มี แต่เขากลับรอด แต่บางคนดูแข็งแรงดีแต่กลับจากไป

       การปฏิบัติธรรมทำให้ดิฉันมีสติเพิ่มขึ้นมองเห็นสิ่งที่อยู่ในใจตัวเองมากขึ้นค่ะ อาจารย์  ทำให้ทำใจกับสิ่งที่ผ่านมาในชีวิตได้มากขึ้น

 

แวะมาเป็นกำลังใจให้คุณหมอค่ะ

เหนื่อยหน่อยนะค่ะ แต่ต้องขอบอกว่าเป็นอาชีพที่มีคุณค่ามาก 

^-^

        ขอบคุณค่ะ น้องมะปรางเปรี้ยว หมอแอบเข้าไปอ่านของคุณน้องบ่อยๆ สดใสดีจังค่ะ

ขอบคุณคุณหมอมากค่ะ ที่แวะไปอ่านบันทึกของหนู  ^-^  ถ้ามีคำแนะนำหรือข้อคิดเห็น ก็รบกวนเขียนข้ดคิดเห็นได้อ่านด้วยนะค่ะ 

ขอบคุณค่ะ

ขอบคุณและเป็นกำลังใจให้คุณหมอนะครับ

ตอนผมไปเรียนที่อังกฤษ (หลายปีมาแล้ว) เคยโกรธเรื่องกรรมมาก เพราะตอนเป็น นศพ. เคยเห็นเด็กที่ตายคลอดบ้าง ตายใน NICU (newborn ICU) บ้าง ตายทุกข์ทรมาน กรรมใดหนอทำให้เกิดมาป๊บต้องทรมาน จำก็จำไม่ได้ว่าตนเองเคยทำอะไรไว้ (ผมทนไม่ไหวเอาไป post ในกระดานข่าว discuss Buddhism ว่าทำไมๆๆ) ผมยังสงสัยเลยนะครับ ถ้าไม่ใช่กรรม เป็นเรื่องผิด กฏหมาย สมมติว่าถ้าคนทำเกิดอุบัติเหตุความจำเสื่อมสิ่นเชิง จำอะไรไม่ได้เลย ศาลจะสั่งทำโทษคนๆนี้ตอนที่ความจำเสื่อมหรือไม่?

มีบางคนบอกว่าพระเจ้าไม่ได้ทำโทษเด็ก แต่ทำโทษพ่อแม่ที่เคยทำกรรมไว้ต่างหาก ผมได้ยินยิ่งไม่เห็นด้วยใหญ่ เหมือนกับว่าถ้าเด็กคนนี้โตแล้ว ถ้าใครอยากจะทำโทษพ่อแม่ ก็ให้มาทรมานลูกแทน เป็นการทำโทษ!!

แต่หลังจากนั้น ผมไม่ได้พยายามอธิบายอะไรมากไปกว่าที่เห็น แต่สำรวจจิตใจตนเองว่าเราได้เติบโตมาจากประสบการณ์แต่ละอย่างหรือไม่ และอย่างไร ปรากฏว่าเรารับเรื่องราว เราเรียนรู้อย่างไรนั้น ขึ้นอยู่กับเราเยอะมากกว่าที่คิด และเป็น free will บางครั้งบทเรียนมีอยู่ง่ายๆว่า นี่แหละคือสัจจธรรม นี่แหละคือ ชีวิตจริงๆ คนที่เหลืออยู่ เมื่อ survive events ต่างๆเหล่านี้ จะกลายเป็นคนอย่างไร?

ถ้าเรื่องราวประสบการณ์ที่ผ่านเข้ามา ทำให้เรามีสติเพิ่มขึ้น ดำเนินชีวิตดด้วยความไม่ประมาท รีบเร่งทำบุญกุศล เหตุการณ์ที่ผ่านไปแล้ว ก็คงไม่สูญเปล่า บางคนอาจจะเรียกเป็น เหตุการณ์ทีเกิดขึ้นโดยแฝงเหตุผลที่มา อยู่

code ที่จะ decode อย่างไรนั้น ตามที่ที่เราท่านได้บำเพ็ญ สั่งสมมา เป็น อายุ วรรณะ สุขะ และพละ ครับ

อนุโมทนาให้คุณหมอด้วยครับ

สวัสดีค่ะ อาจารย์หมอ PHOENIX

          คล้ายๆกันเลยค่ะ ดิฉันก็เคยนึกหลายครั้งว่า เอ ทำไมบางคนอยู่ในท้องแม่ก็ตายละ บางคนก็ป่วยตั้งแต่อยู่ในครรภ์ บางคนออกมาป่วยตอนเด็ก บางคนป่วยซ้ำซาก  บางคนสบายดี โรคภัยเบียดเบียนน้อย

          บางคนครอบครัวดี พ่อแม่เป็นหมอด้วยแต่ป่วยตั้งแต่เด็ก หมอบางคนเป็นโรคจิตตอนเรียน บางคนเป็นโรคจิตตอนทำงาน อะไรที่ทำให้เค้าเป็นอย่างนั้น

            บางคนแต่งงานสามวันเจ็ดวันก็เป็นหม้าย บางคนไปหม้ายตอนหลัง บางคนหม้ายเพราะฆ่าคู่ชีวิตอีกตะหาก บางคนกำพร้า บางคนพ่อแม่พี่น้องครบครัน บางครอบครัวฆ่ากันเอง บางครอบครัวรักกันดีมากๆ

           กรรมน่าจะเป็นคำตอบได้ตรงที่สุด

สวัสดีค่ะ ฉันไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงดี เเต่ฉฉัน..อยากบอกว่า เกิด เเก่ เจ็บ ตาย มันไม่ใช่เรื่องของกรรม ฉันอาจเคยคิดอย่างนั้นมาก่อน เเต่เมอื่ฉันรู้จักพระเจ้า ฉันเริ่มเข้าใจ purpose of this life.. เเต่ก่อนฉันเคยสับสน เเละมีคำถามเกิดขึ้นมากมาย เเต่ก้ไม่ได้รับคำตอบ จนกระทั่งฉันได้มารู้จักอิสลาม ตอนเเรกฉันก็มองในเเง่ไม่ดี เกลียด อคติ เเละเพียงรู้สึกว่ามันเป็ฯเพียงเเค่ศาสนาหนึ่งเท่านั้น เเต่ไม่รู้ว่าทำไม มีคนมาบอกฉันว่า If you were more brave, you might not throw the truth. หลังจากนั้น ก็เริ่มเรียนรู้ เเล้วได้อะไรมากมาย ตอนนี้ เหมอืนกลืนน้ำลายตัวเองยังไงไม่รู้ เเต่ฉันก็มีควสามสุขมากกกกที่ได้รู้จักอิสลาม ตอบทุกคำถามที่คาใจ ความจิงมันเเตกต่างจากที่อคติไว้ จากหน้ามือเป็นหลังมือ ... ฉันก็เคยสงสัยนะ ทำไมคนไข้มุสลิมถึงไม่เคยมีการฟ้องร้องเลย มันเกี่ยวพันกับการกำหนดของพระเจ้า พวกเขาเลยไม่กลัวอะไร เช่นเดียวกับฉัน .ลืมบอกไป ฉันเรียนหมอเหมอืนกันค่ะ ...กุรอานที่เป็ฯคัมภีร์ของอิสลามเนี่ยะ มีบอกทุกอย่างงง ......... ตอนนี้ มีความสุข ..เเละรู้ว่าชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร

มันเป็นหน้าที่ของอาชีพหนึ่งในสังคมที่สำคัญมาก แต่หมอก็เป็นคนธรรมดาไม่ใช่เทวดา ชีวิตที่รักษาไว้ได้หรือไม่ได้ไม่ใช่ความผิดของหมอถ้าทำจนสุดความสามารถนะครับ

จะเป็นกำลังใจแก่คุณหมอทุกท่านที่พยายามทำเพื่อคนป่วยทุกชนชั้นแบบเท่าเทียม

ขออนุญาตเจ้าของบล็อกครับ ขอแนะนำหนังสือ

“เกิดมาเพื่อเป็นหมอ”

(born to be)

หนังสือเล่มนี้คงจะพอเป็นไกด์ให้ทุกคนได้เห็นชีวิตของนักเรียนแพทย์ได้อย่างชัดเจนว่า กว่าจะเป็นหมอได้นั้น

จะต้องเรียนอะไรบ้าง มีอุปสรรคน้อยใหญ่ขนาดไหนที่จะต้องเตรียมตัวและเตรียมใจให้พร้อม

จะกินยายังต้อง (((เขย่าขวด))) จะเป็นหมอทั้งทีก็ต้อง (((เขย่าสมอง เขย่าความคิด))) กันก่อน

รายละเอียดขอเชิญมาที่บอร์ดนะครับ

http://www.bynatureonline.com/forums/viewtopic.php?f=4&t=402&p=731#p731

วางจำหน่าย ตุลาคมนี้ครับ

คนเราเกิดมาเพื่อทำประโยชน์คะ

หนูอยากเรียนหมออะ แต่กลัวผี T^T

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท