ความทรงจำ เป็นลิ้นชักเล็กๆ หลายล้านที่ดึงเข้าออกอยู่ในใจเรา บางทีเราอยากปิดบางลิ้นชัก เพื่อให้ลืมบางเรื่อง แต่ก็นั่นแหล่ะ มันเปิดปิดอัตโนมัติ
ไม่มีความเห็น
ปีนี้อากาศร้อนมาก คงเพราะปีนี้อากาศหนาวมาก มีเวลาอยู่บ้านที่ลงทุนระยะยาวมาก ของตัวเองนานๆ เพราะไม่ยอมลงทะเบียนไปอบรมที่ไหน เหมือนปีที่ผ่านมา (อบมากก็ไหม้) มีเวลาอยู่กับตัวเองมาก ปลูกต้นไม้ได้เห็นดอกกันเลยทีเดียว มีเวลาอ่านหนังสือกองโต ค่อยๆ เขมือบทีละเล่ม(หลังจากแวบออกจากงาน) มีเวลากวาดต้อนฝุ่นออกจากบ้าน(มันแอบมาตอนไหนก็ไม่รู้) มีเวลานั่งมองแดดเต้นระบำ
ไม่มีความเห็น
ฝนหยุดไปแล้ว ถึงได้รู้สึกถึงลมหนาว บางอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิตพร
ไม่มีความเห็น
เด็กๆ มักจะลอบมองครู..เช้านี้ข้าพเจ้านึกคำสวยๆ ได้คำหนึ่งขณะยืน(แอ๊กชั่น)อยู่หน้าเสาธง เหล่านั้นเป็นสายตาที่ทวงถามว่า..ครูหายไปไหนมา(เข้าเมืองเสียสามวัน) เหล่านั้นคงลอบมองจนเมื่อย..คำสวยๆ ลองนึกซิว่าเราจักกักเก็บไว้ในใจเท่านั้นหรือ ข้าพเจ้าเพียงยิ้มแล้วเอ่ยออกมา..ไม่ใช่ซิ เปล่งออกมา เหล่านั้นแล ข้าพเจ้าก็มองเห็นคลื่นยิ้ม กระเพื้อมไหวเป็นเสียงหัวเราะ (ขณะนั้นผอ.กำลังพูดอยู่หน้าแถว) ทำได้คือยกนิ้วชี้ขึ้นมาวางบนปาก แล้วลอบกลั้นยิ้มให้กัน
อ่อนโยนกับเด็กๆ นะคะ แล้วกับคนโตๆ ล่ะ..
ฝอยฝนใน..สุขาภิบาล ๕
เข้าสู่ฤดูฝนโดยบริบูรณ์ เมื่ออาการหวัด..เพราะฝนเข้ามาแฝงเล้นในตัวเองอย่างเงียบเชียบ ข้าพเจ้าชื่นชอบฤดูฝน ยามที่เหลียวมองไปทางใด โลกก็ระบายไปด้วยสีเขียวระบัดใบ หากแต่สีเขียวที่มีโอากาสไหลรวมกันอยู่นั่นมีจุดกำเนิดมาจากฝนทั้งนั้น บางขณะเรื่องราวที่ผ่านเข้ามามากมายมีที่มาที่ไปเสมอ..เรามักจะหลงชื่นชมกับตอนปลายของเรื่องและมักจะลืมตอนต้นเรื่องเสมอ..อ่ะดิ
ไม่มีความเห็น
บางครั้งตัวเราเองก็ต้องการกำลังใจ..ในทุกๆ วัน มักจะมีเวลาให้กับสิ่งอื่นๆ มากมาย จนหมดแรงนั่นแหล่ะ จึงรู้ว่า ควรหัดให้กำลังใจตัวเองบ้าง ..สำหรับการเดินทางของชีวิตที่ ต้องเดินไปข้างหน้า น้อยนักที่จะแวะพักริมทาง(ในช่วงขณะนี้) มุ่งให้การเดินทางสัมฤทธิผล บ้างก็ต้องต่อสู้ บ้างก็ต้องถางทาง บางครั้งเราก็ทำหน้าที่ให้กำลังใจผู้อื่น ที่สำคัญที่สุด..แวะส่งกำลัง(ใจ) ให้ตนเองบ้าง..นะเออ
ไม่มีความเห็น
วันก่อนหัวหน้างานประชุมประจำเดือน..เพราะอนุบาลไปดูงานโรงเรียนอื่นมา ..ทุกครั้งที่เราไปได้รับสิ่งใหม่ๆ มา มักจะได้ยินเสียงส่วนใหญ่ในสังคมเล็กๆ นี้เสมอว่า.."ทำไม่ได้หรอก" เพราะ...ยาวเป็นหางว่าว นั่นเป็นตัวการสำคัญมากที่ทำให้องค์กร เดินย่ำอยู่กับที ทุกวงสนทนาเราพูดถึงแต่ค่าตอบแทนที่ต้องขึ้น คิดถึงแต่ว่า เราจะได้อะไรจากการทำ..ของเรา บางทีการที่เราได้รับรู้ว่า..ยังมีมนุษย์ต่างดาวที่ดีกว่าเราอยู่ในโลกเดียวกันนี้ มันควรจะทำให้ เราตื่นตะลึง และทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้..เสียโดยเร็ว ทำเพราะว่าอยากทำ ทำเพราะเป็นเรื่องควรทำ ไม่งั้นเราจะโดนมนุษย์ต่างดาวขโมยโลกที่คิดว่าเป็นของเราไปนะเออ..
ไม่มีความเห็น
ส่งท้ายปิดเทอมด้วย หนังสือคนปลูกต้นไม้..ในวันที่โลกเต็มไปด้วยภัยพิบัติ ยังคิดอยู่ว่าฮีโร่จะแปลงร่างมาในรูปแบบไหน ก็เห็นคนหลายคนที่เพียรทำเรื่องไม่เป็นเรื่องในยุคนี้ แต่เป็นผลดีในกาลต่อไปมากมายยังคิดอยู่ว่าใช้ชีวิตมาตั้งนานแล้ว ทำดีสักข้อได้หรือยัง อ่าน คนปลูกต้นไม้แล้วทำให้อยากปลูกผักรอบบ้านเสียหน่อย รวมถึงปลูกอะไรเล็กๆ รอบห้องเรียน..
ไม่มีความเห็น
เผลอเข้าหน่อยปีนี้ก็เข้าสู่ปีที่เก้า สำหรับการทำหน้าที่สอนหนังสือ ลูกศิษย์รุ่นแรกที่ประจำชั้นเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว ..แก่แรด เลยเรา คิดจะออกไปทำมาหากินอย่างอื่นอยู่เหมือนกัน เช่น เป็นชาวนาเหมือนพ่อแม่ แต่ก็นั่นแหล่ะ เข้าโรงเรียนนานไปหน่อย ออกไปคงต้องหาซื้อหนังสือเรื่องทำนามาอ่าน พาเด็กปลูกข้าวได้ต้นสองต้น คุยโม้ทั้งวัน จะว่าทนอยู่ก็ทนอยู่ เป็นบางครั้งคราว จะว่าสนุกก็สนุกเป็นมื้อๆ จะว่าเบื่อ ก็หายเบื่อเป็น ก็เลยยังไปไหนไม่รอด อยากทำตัวเป็นติสต์แตก "ออกไปเขียนหนังสือ" ขนาดมีงานประจำทำ ยังผอมจนหน้าเหลือง น่าแปลกที่ทนบ้าบออยู่กับเรื่องเดิมๆ ซ้ำๆ (และบ่น) ก็ได้ด้วยเนอะ เอ๊ะหรือจะเป็นอย่างเขาว่า "นี่แหล่ะชีวิต..ตรู"
...แว้งที่รัก..หนังสือที่สร้างความสมดุลให้กับชีวิตในช่วงยามที่ความแปลกแยกกำลังคุกคามอยู่ทุกพื้นที่ หนังสือเล่าเรื่องของอำเภอแว้ง จังหวัดนราธิวาส รู้จักคนนราธิวาส อยู่หลายคนช่วงนี้ และเห็นความพยายามของเขาในการนำความสงบสุขกลับเข้ามาในพื้นที่ มองเห็นทั้งความทุกข์และสุขในน้ำเสียงเหล่านั้น กะว่าจะซื้อมาอ่านเอา "งาน" แต่รู้สึกว่าอ่านคนเดียวคงได้คนเดียว ปล่อยให้เด็กๆ ได้อ่านบ้างคงทำให้โลกนี้รืื่นรมย์ขึ้น..ในมุมหนึ่งที่ความรุนแรงบาดหมางคุกคามเรา ในมุมนั้นเองความงดงามร่มเย็นก็ยืนอยู่ข้างๆ กัน
แว้งที่รัก..ชบาบาน เขียน
อยากอ่านบ้าง ยี่สิบปีก่อน ชื่นชอบปุลากง
เปิดเทอมใหม่ ฝนมาทักทายทุกเช้าเย็น บางครั้งก็เหมือนฝน นึกอยากมาก็มานึกอยากไปก็ไป..แต่ หน้าที่เดินหน้ามาเคาะเรียกที่ประตูแล้ว..โอว
ไม่มีความเห็น
ไม่แน่ใจว่าตนเองเป็นผู้ประสบภัยหรือไม่..เพราะยังไม่รับของแจก ยังดำรงชีวิตเช่นที่เคยทำ ออกไปข้างนอกประจำเท่าที่อยากออกไป(โบกรถ) กินอาหารนอกบ้าน อ่านหนังสือ เขียนหนังสือ และทำงาน(ตามหน้าที่) ร้องเพลงในห้องน้ำ ถ่ายรูป และเฝ้าชมนาฏกรรมระหว่างสายน้ำ คิดบทเรียน
ไม่แน่ใจว่าผู้ประสบภัยจำเป็นต้องรอคอยเท่านั้น หรือไม่รอคอยก็เท่านั้น ระหว่างที่เฝ้ามองนาฎกรรมระหว่างสายน้ำ ชายแก่นอนมือก่ายหน้าผากพลางลุกขึ้นเหม่อมองสายน้ำนิ่งนาน..ฉันขยับเข้าไปใกล้ๆ
"ตากินข้าวหรือยัง"
ไม่แน่ใจว่าเป็นผู้ประสบภัยหรือไม่
ไม่มีความเห็น
น้ำท่วม..ข้างๆ บ้านมีน้ำเอ่อท้นขึ้นมา ฉันนั่งมองระดับน้ำ มองไปเห็นความเป็นไป สายน้ำจักพายพัด เพราะว่าชีวิตยังคงดำเนินอยู่ ไม่นานสายน้ำจักจากไป
ไม่มีความเห็น
๙. "จับมือกันหน่อย" เด็กๆ ยื่นมือเล็กบ้าง อ้วนบ้าง ผอมบ้าง ออกมาเพื่อจับมือที่ยื่นออกไป หลังจากนั้นมีคนยื่นมือเทียบกับมือใหญ่กว่า หลังจากนั้นก็ผลัดกันเป็นคนมือยาวกว่า สั้นกว่า อ้วนกว่า ผอมกว่า หลังจากนั้นก็เล่นจับมือ หากในความเป็นผู้ใหญ่คงมีแววตาตั้งคำถามกับคำว่า "จับมือกันหน่อย"..ขอบคุณ
ไม่มีความเห็น
๘. บานหน้าต่างถูกผลักให้เปิดออก ข้าพเจ้ามองเห็นทางด่วนอยู่เบื้องหน้าและเห็นทางไม่ด่วนอยู่ใกล้กันนั้น มันผุดงอกมาประดับประดาความเจริญ และเด็กๆ ต้องระแวดระวังตัวกันมากขึ้น รวมถึงข้าพเจ้าต้องขยันผลักหน้าต่าง..ขอบคุณ
ไม่มีความเห็น
๗. แดดแยงตาขณะอีกขอบฟ้ามีเสียงฟ้าคำราม..ฝนตกไม่เคยทั่วฟ้า แม้ในฤดูฝนก็ตาม ท้องฟ้าเป็นสีหม่นๆ ในยามเช้า เด็กๆ ถือกระเป๋า บ้างต้องใช้คำว่าแบกมา ข้าพเจ้านั่งมองวิถีปฏิบัติเหล่านั้น บ้างก็ว่ามันไม่มีความหมายใดใด
ไม่มีความเห็น
๖. ฝนพรำหล่นทำเอาถนนเปียกชื้นไปหมด..รวมถึงถนนในความคิดของเด็กๆ ข้าพเจ้าเห็นฝนช่วงนี้ตกถี่ๆ เด็กๆ ไม่ค่อยมีร่มมาโรงเรียน บางทีความเป็นเด็กอาจทำให้เพลิดเพลินกับสายฝน..ข้าพเจ้ากำด้ามร่มจนเจ็บมือ ปล่อยออกพบรอยแดงบนมือตัวเอง ตัดสินใจยื่นร่มออกไปตากฝน..ขอบคุณสายฝน
ไม่มีความเห็น
๕. ข้าพเจ้าลงมือสำรวจจำนวนประชากร (สมาชิกในบ้านสำหรับปีนี้) พวกเขาล้วนเป็นคนที่ขาด..นับได้เพียงสิบเปอร์เซ็นต์ที่ไม่ "ขาด" อีกเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ต่างหาคนครบพ่อแม่ไม่ได้..น่าแปลกที่มันเพิ่มขึ้นทุกปี และนั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องทำการตั้งรับ..และทำความเข้าใจระบบสังคมพื้นฐานของเมืองไทยในยุคสมัยนี้ อาจเรียกได้ว่า ครอบครัวขาดนี้ รุกล้ำเข้ามาในอาณาเขตของเราทุกปี..น่ากลัว
ไม่มีความเห็น
๔. ข้าพเจ้าเหลือบเห็นดอกไม้สีขาวเล็กๆ ดอกหนึ่งหล่นอยู่ปลายเท้า..คิดจะก้าวข้ามไปเพื่อเดินทางต่อ..แต่ตัดสินใจก้มลงเก็บขึ้นมาพิศดู ดอกไม้สีขาวมีเกสรสีเหลืองอยู่ปลายดอก..เด็กๆ เห็นข้าพเจ้าหยุดเก็บจึงเก็บตาม พวกเขาถามว่า "ดอกอะไร" เราจึงสนทนากันต่อ..เท่านี้เองชีวิต แค่ก้มลง หยุดมอง แล้วคิดต่อ คงมีหลายครั้งแล้วที่ข้าพเจ้าก้าวผ่านอะไรมาเพียงแค่ต้องการ ผ่านๆ ไป
ไม่มีความเห็น
๓. ข้าพเจ้าตั้งคำถาม ถามตัวเองมาตลอดเวลา..ว่ากลายร่างเป็นคนเมืองเสียแล้วหรือ..เรื่องบางเรื่องที่เคยทำได้หล่นหายไป..ครั้นนึกอยากจะทำกลับไม่แน่ใจว่าควรอยู่หรือไม่..มารยาทในการเป็นคนเมืองทำให้สิ่งที่คน..ซึ่งเป็นสัตว์สังคม กร่อนหายไปทุกที..คนย้อมเมือง หรือว่า เมืองย้อมคน
ไม่มีความเห็น
๒.ข้าพเจ้ามองลงมาจากระเบียงห้อง เห็นเด็กๆ กำลังต่อแถวรถไฟกลับบ้าน..มันคดโค้ง ชีวิตมันไม่ได้เป็นเส้นตรงใช่ไหม..มันถี่ห่างไม่เท่ากัน..และไม่มีทางที่จะทำให้มันตรงได้ตลอดเวลา แม้จะมีมือที่มองไม่เห็นกระหนาบข้างตลอดเวลา
ไม่มีความเห็น
๑.ข้าพเจ้ามองเห็นอะไรบางอย่าง..เพียงอยากสร้าง(สรรค์)สิ่งที่มองเห็นและบันทึกไว้เป็นการทำความเข้าใจตนเอง..หวังเพียงว่าจะเข้าใจตนเองเพิ่มมากขึ้นในทุกวัน..ขอบคุณ
ไม่มีความเห็น