ท่านผู้อ่านครับ...การมีชีวิตอยู่กับธรรมบ้างจะเห็นความสุขสงบกายใจได้เหมือนกันนะครับ...
แต่ในวิถีชีวิตที่ไร้ธรรมประจำใจจะส่งผลต่อการดำเนินชีวิตมากเลยเอาแค่การที่คนเราไม่มีศีลห้าข้อนี้ก็เรื่องใหญ่แล้วครับ เช่นคนที่มีนิสัยชอบโกหกหลอกลวงผู้อื่นทำให้เขาได้รับความเดือดร้อนนานาประการ...
หรือคนที่นึกว่าตนเองเก่งไม่มีใครสู้ได้ในทุกทาง ตั้งตัวเป็นเจ้าพ่อเจ้าแม่ใช้วิชามารหักหานรานน้ำใจต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันให้ได้รับความเดือดร้อนไปทุกย่อมหญ้าอย่างนี้เป็นต้น สะท้อนภาพให้เห็นคนในสังคมเริ่มห่างธรรมออกไปทุกที ๆ
อย่างนี้คนที่ปฏิบัติธรรมอยู่ใกล้ ๆ ก็พลอยลำบากไปด้วยเพราะเข้าไปอยู่ในรัศมีของความเลวร้าย จึงเกิดมุมคิดสะกิดใจตามคำกลอนที่จำมาว่า...
ดินแดนใดกันดานท่านเศรษฐี
อีกไม่มีนักปราชญ์ฉลาดอาศัย...
อีกไม่มีพระราชาชลาลัย...
แดนนั้นไซร้ไม่ควรอยู่ข้ามวันคืน...
และด้วยเหตุดังกล่าวมาท่านผู้รู้จะกล่าวว่า...คนหลอกลวง เย่อหยิ่ง เพ้อเจ้อ ขี้โอ่ อวดดี และไม่ตั้งมั่น ย่อมไม่งอกงามในธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแล้ว...นั้นเอง.ครับคุณยูมิ....ครับ บันทึกของอริยะสงฆ์ ท่านเคยกล่าวว่า "คนพาลไพรีอยู่ที่ใด บัณฑิตไม่ควรอยู่ที่นั้นนาน" เพราะอะไร?
เพราะว่า พระพุทธเจ้าเคยตรัสว่า มนุษย์นั่นเปรียบเสมือนบัว สี่เหล่า เราควรสนใจสอนแต่บัว สามเหล่า ส่วนบัวใต้น้ำนั้นไม่ควรสนใจ เพราะอย่างไรก็ไม่สนใจฟังและศึกษา ธรรม แน่นอน
มีแต่จะก่อเรื่องก่อเหตุ เช่นคำสุภาษิตว่า "คบคนพาลพาลพาไปหาผิด คบบัณฑิตบัณฑิตพาไปหาผล"
สวัสดีครับ นาย สมพงศ์ ตันติวงศ์ไพศาล
สนใจใฝ่รู้ทางธรรมดีนะครับผม
สิ่งที่ยกมากล่าวเป็นสัจธรรมดีมากครับ..อยากให้มีคนหันมาหาธรรมมาก ๆ สังคมจะได้หายร้อน ๆ
ขอบคุณครับ
ตามมาอ่านค่ะอาจารย์ และเห็นด้วยว่าสังคมเราทุกวันนี้จิตใจของคนเริ่มห่างธรรมะจริง ๆ ขอบคุณค่ะที่นำมากระตุ้นเตือนสังคม
เมื่อคนห่างธรรม...ไม่นานธรรมก็จะจางหายไปแบบไร้ร่องรอยในที่สุด...
และอันตรายต่าง ๆ ก็เพิ่มเป็นทวีคุณนะครับ
ขอบคุณครับ