โลกที่อ้างว้าง


..โลกที่อ้างว้าง ...อยากจะแบ่งปันความทุกข์ของเพื่อนร่วมทุกข์... หากแต่..แต่ละคนต่างมีโลกของตัวเองที่มิอาจก้าวล่วง และแต่ละคนก็มีวิธีการที่แตกต่าง...

ในช่วงระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือน  เราได้มีโอกาสคุยกับเพื่อนสามคน  ต่างกรรม ต่างวาระ  แต่สิ่งที่เราสัมผัสได้ในใจของเพื่อนสองคนแรก... คนที่ขยัน  ทำงานอย่างมุ่งมั่น  คือ  ความรู้สึกโดดเดี่ยว  และเมื่อพบเพื่อนอีกคนในอีกสัปดาห์ต่อมา  .......โลกนี้..บางครั้งก็อ้างว้าง  ...  ครั้งนั้น  เราฟังแล้วได้แต่พยักหน้า ..นิ่งๆ

 

ความรู้สึกอ้างว้าง เกิดขึ้นในใจคนเราได้เสมอ ด้วยต่างสาเหตุ  และดูเหมือน...ต่างคนต่างหาทางออกด้วยวิธีการของตนเอง

  

เรารู้จักความรู้สึกนั้นดี  โดยเฉพาะเมื่อเป็นเด็กที่ต้องอยู่กับคนแปลกหน้ามาเป็นเวลาหนึ่งในสี่ของชีวิตปัจจุบัน  และต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน

  

เราพบว่าวิธีที่ดีที่สุดสำหรับเรา   คือมองข้ามตัวเอง   ลดขนาดช่องว่างของความต้องการไขว่คว้าที่อยู่ในใจตัวเอง   ด้วยการ ทำตัวเองให้เล็กและเป็นผู้ให้   ...ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก.. เราท่องจำมาจากพุทธภาษิตบทหนึ่งในวิชาศีลธรรม

 

ทำตัวเองให้เล็ก ... ทำยาก ทำยังไง  เพื่อนถาม

... นั่นสินะ ....  เป็นคำถามที่ตอบยาก

  

เมื่อยังเป็นเด็ก  เราเคยมองดาวบนฟ้า  มองจนรู้สึกว่าตัวเองหลุดลอยออกไปสู่จักรวาลภายนอก    ดาวที่เราเห็นได้บนโลก ไม่ใช่สิ่งเล็ก  แต่เมื่อเทียบกับจักรวาล  มันก็เป็นแค่จุดเล็กๆ   โลกเราก็คงเป็นเพียงจุดเล็กๆในจักรวาลเช่นดาวดวงอื่น    แล้วมนุษย์อย่างเราที่ยืนอยู่บนโลกกว้างเล่าจะเล็กสักเพียงใด   แท้จริงก็ไม่ต่างกับเศษฝุ่นผงธุลี ไร้ความหมายใดๆ..   ความรู้สึกในวัยเด็กนี้   ยังอยู่ในความทรงจำของเราตลอดมา  ...คนเราก็แค่เศษธุลี ....

  

และเมื่อเรามองข้ามตนเอง  รู้จักที่จะให้คนอื่น  เรากลับพบว่า  เราได้รับความรัก ความยอมรับกลับคืนมา  แต่ที่สำคัญที่สุดคือ ความรู้สึกว่าตัวเองมีค่า ... แม้จะเป็นเศษธุลี

  

เซนบอกว่าทำตัวเองให้เป็น "ถ้วยชาที่ว่างเปล่า แต่เป็นประโยชน์"

 

..นั่นเป็นประสบการณ์ในวัยเด็ก

  

เมื่อเติบโตขึ้น  ..และครั้งหนึ่งชีวิตเราสะดุด  เพื่อนบอกเราว่า ให้อยู่กับความจริง (ในปัจจุบัน)  อย่าหลอกตัวเอง  อย่าหลอกคนอื่น  การยอมรับความจริงทำให้เราแก้ปัญหาได้ดีที่สุด   ...เขาบอกเราแค่นั้นจริงๆ ..... แล้วเราก็เลือกทางใหม่  เจ็บปวดเพียงเล็กน้อยแต่ก็ผ่านเวลานั้นไปได้อย่างง่ายดาย

    

แต่ ณ วันนี้  เราทำงานหนักขึ้น ไม่เพียงแต่ลืมสำรวจจิตใจตัวเอง  แต่ลืมเพื่อนด้วย    มีเวลา ให้ กับคนอื่นน้อยลง   ..เราทิ้งเพื่อนๆไปโดยไม่รู้ตัว  

และเมื่อถึงจุดหนึ่ง  เมื่อเราสะดุดอีกครั้ง  เราจึงได้พบว่า  ไม่มีใครอยู่ที่นั่น..   ยิ่งหมกมุ่นกับการแก้ปัญหา  ยิ่งทำให้ตัวเองกลับเป็นศูนย์กลางความคิดของตัวเอง ..

 

สำหรับเราผู้เพิ่งฝึกหัดนั่งสมาธิ... บางครั้ง เมื่อเรามุ่งมั่นที่จะหลุดพ้น  เรามุ่งกลับมาภายในจิตใจ   ตั้งใจกับมัน กะเกณฑ์กับตัวเอง เกิดเป็นอุปาทานที่ผูกตัวเองไว้กับความคิดและความมุ่งมั่นที่ยังวกวนของตัวเอง และกลายเป็นพันธนาการใหม่

 

จนกระทั่ง..... 

....โลกนี้อ้างว้าง....   ความโดดเดียวของเพื่อนร่วมทุกข์...  ทำให้เราได้สติที่จะมองเห็นคนอื่นอีกครั้ง

 

...  อยู่กับความจริง... เพื่อนชาวตะวันตกเคยบอก

  

....อยู่กับปัจจุบันอย่างมีสติและเมตตา เมื่อกายกับจิตอยู่ด้วยกันในปัจจุบัน ย่อมมีสติที่จะมองเห็นทางหลุดพ้น    .....    ท่านติช นัท ฮันห์ กล่าวไว้ทำนองนี้   และคำว่า ความเมตตา  ย่อมหมายถึงว่า  ท่านสอนให้เรามองเห็นผู้อื่นด้วย

 

.....มนุษย์เราก็แค่เศษธุลี....  ความทรงจำในวัยเด็กกลับคืนมา

 

.... ทำตัวเหมือนถ้วยชาที่ว่าง เปล่าแต่เป็นประโยชน์...  บทเรียนจากเซน

  

..โลกที่อ้างว้าง  ...อยากจะแบ่งปันความทุกข์ของเพื่อนร่วมทุกข์... หากแต่..แต่ละคนต่างมีโลกของตัวเองที่มิอาจก้าวล่วง และแต่ละคนก็มีวิธีการที่แตกต่าง...

 

คงได้แค่ส่งกำลังใจให้กับเพื่อนทั้งสามด้วยความรักและความปรารถนาดีอย่างจริงใจ.... ในขณะที่ตัวเองก็ยังคงต้องใช้ชีวิตอยู่ในโลกที่อ้างว้างนี้ต่อไป  ....มีสติและเมตตา...

      
คำสำคัญ (Tags): #สติ#เซน#เมตตา
หมายเลขบันทึก: 99046เขียนเมื่อ 28 พฤษภาคม 2007 08:56 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 18:46 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (8)
สมพงศ์ ตันติวงศ์ไพศาล

ความคิดรำพึง.....ตัวเองก็ยังคงต้องใช้ชีวิตอยู่ในโลกที่อ้างว้างนี้ต่อไป  ....มีสติและเมตตา...

1.เราเป็นแค่....เศษธุลี  2.เป็นถ้วยชาที่ว่างเปล่า..แต่มีประโยชน์ 3.ทำสมาธิ อยู่กับปัจจุบันอย่างมีสติและเมตตา คุณมี ๓ วิธีแล้วสำหรับทำให้ตัวเองไม่อ้างว้าง...  ผมขอแลกเปลี่ยนก็แล้วกัน...

คนเราเกิดมาคนเดียว หรือหลายคน  เจ็บคนเดียวหรือหลายคน  ตายคนเดียวหรือหลายคน ต่างอะไรกัน??.... มนุษย์เป็นสัตว์สังคม ต้องอยู่ร่วมหมู่กัน แต่ไม่จำเป็นต้องคลุกคลีกัน  ความอ้างว้างมาจากความกลัวในจิต ถ้าในโลกนี้เราไม่กลัวอะไรเราก็ไม่ต้องมีศาสนา... เพราะศาสนามาแก้เรื่องความกลัวของจิต เช่นพุทธศาสนา (พุทธ แปลว่า รู้แจ้ง) พุทธศาสนาสอนให้คนไม่คลุกคลีกับหมู่คณะ แยกออกมาทำสมาธิ ไม่ใช่ทำสมาธิรวมกันหลายคน(ทำคนเดียวในที่สงบ และสงัด(ป่าช้าได้ยิ่งดี)) และหลังจากพระพุทธเจ้าดับขันธ์ปรินิพพานแล้ว ท่าน ฝากไว้ สองเรื่องคือ หนึ่งให้เอาพระธรรมและพระวินัยเป็นศาสดาแทนตัวพระองค์ และยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม..

ธรรมที่เป็นศาสดาแทนพระองค์ ที่เราควรรู้ถ้าเราเป็นพุทธศาสนิกชน คือ ไตรลักษณ์ คือความจริงที่ไม่เคยเปลี่ยน ๓ ประการคือ  ทุกข์,อนิจจัง,อนัตตา  คือเราเกิดมาเพื่อรับทุกข์ ในบรรดาทุกข์หลายอย่าง ทุกข์เพราะไม่ได้สิ่งที่หวัง หรือทุกข์เพราะเสียสิ่งที่หวัง เป็นคนละตัวกัน แต่ทุกข์(อ้างว้างครับ)

อนิจจัง ไม่มีอะไรจะอยู่ทน ต้องเปลี่ยนแปลงไปตลอด เพราะฉะนั้น ทุกข์ก็ไม่นาน สุขยิ่งไม่นานกว่า เราต้องเข้าใจจึงจะอยู่กับโลกนี้ได้

อนัตตา คือไม่ใช่สิ่งที่เราบังคับได้ ทุกสิ่งในโลกนี้ มีสิ่งเดียวที่เราบังคับได้ คือจิต ที่เหลือบังคับไม่ได้ พอบังคับไม่ได้ เราต้องมาเสียใจเพราะไม่เป็นไปตามใจเรา.....ทุกข์อีก

และอริยสัจจ์สี่ครับ

ขอให้อาจารย์และเพื่อนๆ มีความสุข สงบ มีความเมตตามากขึ้น และมีวิสัยทัศน์กว้างไกลครับ

ในความคิดของผม จริงอยู่ว่าโลกนี้อ้างว้าง เป็นแค่เพียงเศษธุลี แต่จิตใจของเราก็สามารถยิ่งใหญ่ได้นะครับ มีตั้งหลายอย่างที่พวกเราในฐานะเพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตาย จะต้องพิชิต จะต้องสร้างสรรค์ครับ

อย่างเช่น การสร้างความรู้ในแขนงต่างๆ ตระเตรียมไว้เป็นวิทยาทานแก่คนรุ่นหลัง ให้เขาได้ใช้ประโยชน์ เป็นต้น ซึ่งทุกคนสามารถทำได้ ไม่ได้มองกันที่ตำแหน่ง ยศศักดิ์ แต่มองกันที่ใจ ใจที่อ่อนน้อม ใจที่มุ่งใฝ่เรียนรู้ และศึกษา

ผมอ่านบล็อกของ อาจารย์ ผมเองก็มีใจที่น้อบน้อมมากขึ้น อันนี้ก็เป็นประโยชน์ครับผม เป็นพระคุณจากการอุทิศเสียสละของใครหลายๆคน ว่าไปเหมือนบล็อกเป็นเนื้อนาบุญของผมเลยครับ อาจารย์

ขอบคุณครับ

คุณสมพงศ์คะ

ขอบคุณสำหรับความเห็น ข้อเสนอแนะในเรื่องธรรมะซึ่งเป็นสิ่งที่จรรโลงจิตใจและต้องเข้าให้ถึงโดยการปฏิบัติจริงๆค่ะ

เรียนคุณโชคธำรงค์

กำลังใจและการแบ่งปันประสบการณ์คือสิ่งที่ดิฉันได้มากจากบล็อกเช่นกันค่ะ   ขอบคุณค่ะ

เชื่อแน่ว่า ณ วันนี้ อาจารย์ต้องทำงานหนักขึ้น แต่ไม่เชื่อว่า อาจารย์ได้มีเวลา "ให้" กับคนอื่นน้อยลง

เพราะ "คนอื่น" อย่างดิฉัน ได้รับความเมตตาจากการสละเวลาของอาจารย์ มาให้ความรู้คำแนะนำต่างๆ มากมาย แม้เพียงเริ่มได้รู้จักอาจารย์จาก gotoknow ไม่ถึงเดือน

ทำให้คนไกลและไม่มีประสบการณ์อย่างดิฉัน ไม่รู้สึก "โดดเดี่ยว" บนเส้นทางที่กำลังเดินอยู่นี้

ขอบคุณและเป็นกำลังใจให้อาจารย์เสมอค่ะ

สิ่งที่คุณ pilgrim ทำอยู่ต้องการพลังกายและพลังใจอย่างมาก   มากกว่างานของดิฉันเสียอีก  ศรัทธาต่อคนทำงานอย่างคุณ pilgrim  ทำให้เห็นว่า อุปสรรคที่ตัวเองเผชิญอยู่ไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่ประการใด   ขอบคุณค่ะ

โลกนี้ไม่อ้างว้างสำหรับอาจารย์ปัทดอกค่ะ

อย่างน้อยก็ยังมี "ครอบครัว" ที่เป็นที่รักอยู่เคียงข้าง

ยังมี "เพื่อนร่วมงาน" ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่ต่างมีความคิดฝันและอุดมการณ์ในการทำงานให้สังคมและประชาชนเฉกเช่นกัน

และยังคงมี "เพื่อนพ้องน้องพี่" อีกมากมายหลายคนที่ "รัก เข้าใจ และยอมรับ" ในความเป็นตัวตนของแต่ละคนเสมอค่ะ

ฝาก "ความรักและกำลังใจ" มาให้อาจารย์ปัทนะคะ

อาจมีบางช่วงและบางเวลาในชีวิตที่เรารู้สึกเหงา ว้าเหว่และอ้างว้าง หากทว่าขอให้เราอยู่กับความรู้สึกเหล่านี้อย่างเคารพ อย่างอ่อนน้อม และอย่างมีสติค่ะ

แล้วเราก็จะเรียนรู้ที่จะดำรงอยู่กับชีวิตที่มีความทุกข์เป็นพื้นฐานนั่นคือการต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่ง หากเราตั้งสติและเข้าใจกฏของ "อนิจจัง" เราจะสามารถ "คลายความผูกพัน" ในสิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ หรือ สิ่งของอันเป็นที่รักได้ง่ายขึ้นค่ะ การคลายจากการยึดติดหรือพันธนาการเหล่านี้นี่เอง ใจเราจะเบาโปร่งโล่งสบายมากขึ้น และเราจะอยู่อย่าง "ทุกข์น้อย" นั่นก็คือ "สุขเพิ่ม" ขึ้นได้ค่ะ

ขอบพระคุณอาจารย์ตุ้มมากค่ะ    ช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา การได้ทำงานกับอาจารย์ ได้รู้จักอาจารย์ และได้รู้จักหลายๆคนที่อาจารย์แนะนำให้รู้จัก เช่น พี่ทิวาพร  ถือเป็นโชคดีมากของปัทค่ะ

ทุกอย่างที่ได้พบ  ไม่ว่าสุขหรือทุกข์ คือการเรียนรู้ที่จะทำให้เราใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างมีสติยิ่งๆขึ้นค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท