เพลงพื้นบ้าน
จากการปฏิบัติจริง
(ตอนที่ 9) ลิเก
ลิเก มีกำเนิดมาจากพิธีสวดทางศาสนาสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าในศาสนาอิสลามเมื่อนับพันปีที่ผ่านมา แต่เริ่มแรกเป็นการนั่งสวด และต่อมาเปลี่ยนแปลงเป็นมีการโยกตัว และหมุนตัวไปรอบ ๆ รวมทั้งมีการกระทืบเท้า จนกลายเป็นการเต้นที่เร้าใจ และกลายเป็นการแสดงมีเครื่องดนตรีประกอบ ด้วย ในเวลาต่อมา ลิเกแบบเดิมยังปรากฏอยู่ที่ภาคใต้ของประเทศไทย แถบจังหวัด ยะลา นราธิวาสสตูล เรียกว่า “ดจิเก” แต่พอ ดจิเก เข้ามาแสดงในกรุงเทพฯ คนกรุงเทพฯเรียกเพี้ยนไปเป็น “ยี่เก” และในที่สุดมาเป็นคำว่า “ลิเก” ที่ใช้เรียกกันในปัจจุบัน
ลิเก มีจุดเริ่มต้นขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 6 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ จนมาถึงสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม มีบทบัญญัติให้ใช้คำว่า นาฏดนตรี แทนคำว่า ลิเก อย่างไรก็ตามเราก็ยังเรียกกันติดปากว่า ลิเกจนเคยชิน ศิลปะการแสดงที่เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นประเภทนี้ ยังคงมีเสน่ห์ให้น่าติดตามทั้งศิลปะการแสดงที่นำเสนอเรื่องราวที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม การแต่งกายด้วยชุดที่วูบวาบแพรวพราวเข้ากับแสงไฟ ฉากสวยงามตระกานตา เวทีการแสดงถูกปรุงแต่งขึ้นมารองรับความยิ่งใหญ่ของลิเกในยุคปัจจุบัน กอปรกับชื่อเสียงของผู้แสดงหัวหน้าคณะที่ตรึงอยู่ในหัวใจของผู้ชม แต่อีกมุมหนึ่ง ยังมีคณะแสดงลิเกที่รอความเมตตาจากผู้ชมได้ให้การสนับสนุน ให้พวกเขาอยู่ได้
ผมได้รับการฝึกหัดการแสดงลิเก เมื่อสมัยเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5-7 เป็นการฝึกการแสดงลิเก สำหรับกิจกรรมของโรงเรียน ในกลุ่มผู้แสดงจะมีประมาณ 7 คน เล่นทั้งลำตัดและลิเก โดยมีคุณครูเป็นผู้ฝึกสอนให้ ครูแต่งบทให้ผมฝึกหัดร้อง และฝึกรำ ฝึกการแสดงในตอนเย็นหลังเลิกเรียน ฝึกอยู่หลายเดือนกว่าที่จะออกแสดงได้ งานแสดงที่ผมจำได้มีหลายที่ทั้งในเขตอำเภอดอนเจดีย์ และอำเภออื่น ๆ มี อำเภอศรีประจันต์ อำเภอสามชุก อำเภอเดิมบางนางบวช งานแสดงก็จะเป็นกิจกรรมของโรงเรียน งานวัด งานประจำปี ในยุคนั้น (พ.ศ. 2505) ลิเกเด็ก ๆ ไปแสดงตามโรงเรียนคนดูแน่นขนัด เพราะไม่ค่อยมีมหรสพอื่นมาแสดงเลย ในระหว่างที่ผมฝึกหัดแสดงลิเกอยู่นั้น ข้างบ้านเขาก็มีการฝึกหัดลิเกชาวบ้านกันอยู่พอดี ผมขี่รถจักรยานไปกับเพื่อน เพื่อนเขาไม่หัด เขาบอกว่าขอไปเป็นเพื่อน ส่วนผมไปขอฝึกหัดอยู่กับเขา ผมได้หัดร้อง รำ เจรจา จนกระทั่งได้ออกหน้าม่านเล่นเป็นเรื่อง ก็พอดีผมจบชั้น ป.7 ต้องไปศึกษาต่อที่กรุงเทพฯ เข้าเรียนชั้น ม.ศ.1 ที่ โรงเรียนวัดนวลนรดิศ ภาษีเจริญ แต่ก็ไม่วายที่ผมจะนำเอาศิลปะการแสดง ลิเก ไปใช้ในการแสดงละครร่วมกับเพื่อน ๆ เมื่อมีกิจกรรมนักเรียน (แต่งตัวลิเกด้วยนะ) ผมร้องกลอนลิเก-รานิเกลิง บางท่านเรียกว่า ราชนิเกลิง บางท่านใช้คำว่า ราคนิเกลิง ก็คงเป็นคำเรียกบทร้องกลอนลิเก แบบกลอนสดนั่นเอง จากการแสดงบนเวทีในงานกิจกรรมของโรงเรียนที่ผมนำเอาศิลปะการแสดงด้านนี้ ไปเสนอ จนมาถึงช่วงเวลาที่ผมไปประกอบพิธีทำขวัญนาค ผมนำเอากลอน รานิเกลิง ไปใช้ร้องด้วย และมีหลายครั้งที่พี่ชายคนหนึ่งของผม พี่โสภณ (พี่ที่นับถือกันมาก) ท่านเป็นลิเกเก่า ติดต่อผมไปทำขวัญนาคที่บ้านท่าน และที่บ้านลูกน้องท่าน เสร็จพิธีทำขวัญนาคมีลิเก ก็จะต้องให้ผมร่วมแสดงด้วยทุกครั้ง ยังจำภาพเก่า ๆ ได้ไม่เคยลืม ความรักในศิลปะการแสดงของผมมันฝังลึกอยู่ในจิตวิญญาณที่ไม่อาจเลิกราไปได้
วันนี้ผมมีลูกศิษย์ 2 คน ชื่อ นางสาวรัตนา ผัดแสน และเด็กชายธีระพงษ์ พูลเกิด เจ้า 2 คนนี้บอกให้ฝึกอะไรได้หมด ไม่มีปัญหา และน่าที่จะเป็นคนอีกยุคหนึ่งที่เก็บภูมิปัญญาท้องถิ่นเอาไว้กับตัว (มันสมองและมือ) ไม่รู้ว่าเมื่อวันที่ผมต้องนอนหลับยาวไปแล้ว เด็ก 2 คนนี้จะมีใครรู้จักเขาบ้าง ใครจะจูงข้อมือเขาขึ้นสู่เวทีการแสดงแทนผม
รัตนา ผัดแสน ปัจจุบันศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบรรหารแจ่มใสวิทยา 1 มีครอบครัวอบอุ่น มีทั้งพ่อ แม่ และที่สำคัญมีพี่ชายคนโต บุญเสริม แช่มช้อย คอยดูแลมารับ ส่งน้อง เมื่อตอนที่ต้องฝึกซ้อมเพลงพื้นบ้านอยู่กับครูในตอนเย็น รัตนา มีน้ำเสียงใสกังวานไพเราะน่าฟัง ร้องเพลงอีแซวได้ดีที่สุด (อันดับหนึ่งของเมืองสุพรรณ) ร้องเพลงแหล่ได้ ร้องเพลงกล่อมเด็กได้ และได้รับการยอมรับว่า เป็นคนเก่งก็คือ ได้รับรางวัลรองชนะเลิศ อันดับที่ 1 (รางวัลที่ 2) จากการประกวดเพลงพื้นบ้าน (ลิเก) จากสถาบันพระปกเกล้า ปี 2548 ซึ่งมีผู้เข้าประกวดจากทั่วประเทศ และรัตนาเป็นผู้ประกวดเพียงคนเดียวที่นำเอาเพลงพื้นบ้านทำนองลิเกไปประกวด ผู้ประกวดคนอื่น ๆ จะใช้เพลงพื้นบ้านภาคอีสานทั้งหมด และกรรมการก็เป็นคนอีสานเสียส่วนมาก ผมดีใจแทนลูกศิษย์ที่เขาทำได้ถึงขั้นนี้ แต่นั่นมิใช่สิ่งสำคัญต่อชีวิตและการเดินหน้าต่อไปของผม ที่สำคัญ คือ เด็ก ๆ เหล่านี้สามารถที่จะไปแสดงบนเวทีร่วมกับผมได้ทุกงาน ทุกสถานการณ์ไม่ว่าจะเป็นในโรงแรมขนาดใหญ่ บนเวทีที่สูงส่งของประเทศ และงานสำคัญของสังคมทั่วไป ขอบคุณสวรรค์ ที่ส่งพวกเขามาเกิดร่วมยุคและผูกสมัยกับผม ทำให้โลกนี้ บ้านเมืองนี้ยังมีเสียงเพลงที่เรียกว่า รานิเกลิง ต่อไปอีกอย่างน้อย ๆ ก็ชั่วชีวิตของ รัตนา ผัดแสนนั่นแหละ (ชำเลือง มณีวงษ์ / 2550)
(เตร๊ง เตรง..) ถึงแม้จะถูก มองข้าม ว่าเป็นของต่ำ ฮาเฮ เป็นศิลปิน ร่อนเร่ เพื่อเล่นลิเก รำร้อง เป็นหนึ่ง ของศิลปินไทย ที่มีหัวใจ แข็งแกร่ง เป็นรากเหง้า ที่เฉาแห้ง รอความเปลี่ยนแปลง สนอง ช่วยเก็บเอาไว้ ด้วยใจสงสาร ไม่ต้องขึ้นชั้น สุมกองข้าพเจ้าเอง มีนามว่า ครูชำเลือง
แล้วท่านละ อ.พิสูจน์ มีนามว่าอไร รี !!!