“เงื่อนไขสำคัญของการเรียนรู้ คือความใคร่รู้ ใคร่ลอง ใคร่เห็น เป็นไปตามธรรมชาติของมนุษย์” กลไกสำคัญของการทำงานวิจัยของศูนย์ประสานงานวิจัยจังหวัดลำปางที่เริ่มใช้ตั้งแต่การมีเพียงคนทำงานเพียงคนเดียวเพราะไม่รู้ว่าในขณะนั้นกระแสของงานวิจัยเพื่อท้องถิ่นจังหวัดลำปางจะถูกตอบรับจากคนในชุมชนมากน้อยเพียงใด จึงต้องใช้เงื่อนไขของวันที่สามารถมาเจอกันโดยไม่ต้องกังวลว่าจะเป็นวันเสาร์ - อาทิตย์ หรือวันหยุดนักขัตฤกษ์ จึงเป็นที่มาของเวทีวันที่ 10 ภายใต้เงื่อนไขของการเสนอโครงการวิจัยในระยะแรก ๆ จากความกังวลว่ากระแสตอบรับในเวทีวันที่ 10 จะไปในทิศทางไหน? ซึ่งส่งผลที่เกินความคาดหมายของความตั้งใจที่ได้ลงทุนไป จำนวนโครงการและผู้เข้าร่วมมีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ และก็ลดลงเรื่อย ๆ เช่นกัน เนื่องจากในระยะแรกผู้ที่เข้ามาเสนอโครงการเองยังไม่เข้าใจความหมายว่างานวิจัยเพื่อท้องถิ่นคืออะไร งบประมาณที่สนับสนุนก็แตกต่างจากงบประมาณอื่น ๆ ตรงที่สามารถเอาไปใช้เกี่ยวกับงานด้านการเรียนรู้เพื่อค้นหาคำตอบจากโจทย์ที่ตั้งไว้ หรือพูดง่าย ๆ ถ้าเปรียบงานวิจัยเหมือนการชกมวยเพื่อให้ได้รางวัล งบประมาณของงานวิจัยก็คงคงเปรียบได้กับการส่งให้นักมวยไปเรียนเรื่องทักษะการต่อสู้ เตะ ต่อย หมัด ศอก เพื่อที่จะเอาชนะคู่ต่อสู้และได้รางวัล แต่ไม่ได้เอาไปเพื่อให้นักมวยนำไปซื้อรางวัลโดยไม่ได้ต่อสู้แต่อย่างใด (อ.นพพร ผู้ประสานงานพูดไว้ว่าอย่างนั้น) ตรงนี้เองเป็นส่วนช่วยทำให้ระยะหลังมีจำนวนโครงการที่เข้าพิจารณาลดลงเพราะสะดุดกับเงื่อนไขการนำงบประมาณไปใช้ เหลือเพียงโครงการที่ต้องการศึกษาเรียนรู้จริง ๆ
เวทีวันที่ 10 ถูกควบคุมโดยเงื่อนไขที่ได้กล่าวมาแล้วในระยะหนึ่งซึ่งแต่เดิมเวทีวันที่ 10 มีเพียงช่วงเดียวคือตอนบ่าย แต่เนื่องจากข้อจำกัดของจำนวนโครงการและผู้เข้าร่วมมีมาก ระยะเวลาในการพิจารณาโครงการในแต่ครั้งใช้เวลานาน บางครั้งบางโครงการไม่สามารถหาข้อสรุปในเวทีเดียว ต้องกลับไปทบทวนโจทย์วิจัยและค้นหาเงื่อนไขที่สำคัญจากเวทีตามข้อเสนอแนะที่ได้รับไปและกลับมาในครั้งต่อไป บางโครงการรับในเงื่อนไขของงานวิจัยที่กำหนดไว้ไม่ได้ก็ล่าถอยไป บางโครงการที่เห็นแววของความตั้งใจก็ถูกพัฒนาจนได้รับการอนุมัติ ซึ่งบางโครงการใช้เวลาในการพัฒนาถึง 9 เดือน (โดยส่วนตัวNODE เองยังไม่เคย ตัดสัมพันธ์โครงการใด ๆ เลยนอกจากโครงการจะแพ้ภัยไปเอง)
เวทีวันที่ 10 ถูกตั้งไว้เพื่อการพิจารณาโครงการและติดตามโครงการที่ได้ดำเนินการไปแล้วไปพร้อม ๆ กัน (ที่นอกเหนือจากการติดตามในพื้นที่) ทาง NODE จึงได้ปรับเปลี่ยนวิธีการเพื่อสนองต่อจำนวนโครงการที่เกิดขึ้น โดยกำหนดรูปแบบของเวทีให้ช่วงเช้าเป็นโครงการที่จะเข้าพิจารณา (โครงการใหม่) ซึ่งจะต้องส่งโครงร่างให้ NODE ก่อนเข้าเวทีวันที่ 10 (แต่ไม่เคยมีโครงการใดส่งมาเลยแม้แต่โครงการเดียว การควบคุมจำนวนโครงการจึงเป็นไปค่อนข้างยาก) ขั้นตอนที่ทาง NODE ใช้เป็นองค์ประกอบหลักในการพิจารณา คือ ความตั้งใจ ใคร่ลองเรียนรู้ ใคร่ลองแก้ปัญหา ซึ่งอาจไม่ใช่บนพื้นฐานของปัญหาที่เกิด แต่อาจเป็นความใฝ่ฝันที่อยากให้เกิดก็ได้ โดยวัดจากพัฒนาการของการเข้าร่วมเวที ประเด็นที่กลับไปพูดคุยในชุมชนและได้ข้อสรุป นำมาพูดคุยในเวทีวันที่ 10 อีกครั้งซึ่งบางโครงการ NODE ต้องเข้าไปตรวจสอบความคิดของชุมชนในพื้นที่ด้วย ส่วนความถี่ในการเข้าร่วมเวทีก็ถือว่าสามารถวัดความตั้งใจได้ในระดับหนึ่ง รองลงมาคือกรอบการวิจัยที่ว่าด้วยการมีส่วนร่วมของคนในชุมชน วิธีการดำเนินงานเป็นอย่างไร ใครเป็นคนทำ จะใช้งบประมาณในการทำงานเท่าไหร่ ฯลฯ ซึ่งคำถามเหล่านี้มักจะเกิดขึ้นหลังจากผ่านเวทีวันที่ 10 ไปแล้ว 4-5 ครั้ง ในช่วงเช้านี้เองก็จะมีโครงการพี่เลี้ยงคอยเป็นกำลังใจ ขัดเกลาประเด็นวิจัยให้คมชัดจนสามารถดำเนินการได้ โครงการพี่เลี้ยงจะร่วมแลกเปลี่ยนทัศนะต่อการเคลื่อนงานวิจัย บทเรียนที่ได้รับ ปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งจะเห็นเป็นความงดงามในเวทีที่ได้เห็นชุมชนร่วมกันหาทางออก ถึงแม้จะมิใช่ชุมชนเดียวกันก็ตาม ก็มีความพยายามในการถ่ายทอดประสบการณ์และปัญหาที่คาดว่าจะเกิดให้กับโครงการใหม่ได้ฟัง ดั่งนิยามการก่อเกิดความเป็น NODEว่า “ปี้ฮู้สอง น้องฮู้หนึ่ง พริกมีบ้านเหนือ เกลือมีบ้านใต้” จนกลายเป็นความสัมพันธ์และการสร้างพันธมิตรโดยไม่รู้ตัว
เวทีในช่วงบ่ายจะเป็นโครงการที่ว่าด้วยการติดตามงานวิจัย (โครงการเก่า) ที่เป็นเงื่อนไขสำคัญว่าต้องเข้าร่วมทุกครั้ง โดยการเล่าถึงความเปลี่ยนแปลงหรือความก้าวหน้าในกิจกรรมเพื่อแลกเปลี่ยนให้โครงการอื่น ๆ ฟัง ซึ่งข้อมูลที่ได้มานี้เองเป็นส่วนสำคัญที่ NODE ต้องเก็บไว้เพื่อใช้เป็นข้อมูลเชื่อมโยงการพูดคุยในเวทีพื้นที่ เงื่อนไขการเข้าร่วมในเวทีวันที่ 10 นั้นมีที่มาจากการที่โครงการวิจัยไม่สามารถเขียนรายงานความก้าวหน้าให้กับทาง NODE ได้ เพราะในการทำกิจกรรมแต่ละครั้งไม่สามารถเรียบเรียงเป็นภาษาเขียน (ชาวบ้านบอกว่ายากยิ่งกว่าบีบแกลบให้เป็นน้ำมันเสียอีก) ซึ่ง NODE เองก็ไม่สามารถเข้าร่วมเวทีในพื้นที่ได้ทุกพื้นที่ เพื่อเก็บข้อมูลกิจกรรมที่เกิดขึ้น แนวทางที่จะสามารถทำงานร่วมกันได้คือโครงการวิจัยต้องเล่าถึงพัฒนาการของจนเอง ปัญหาอุปสรรคในการทำงาน ข้อจำกัดที่เกิดขึ้นต่าง ๆ (ส่วนนี้จะมีมากที่สุด ) แล้วทาง NODE จะเป็นผู้รวบรวมข้อมูลให้ ในที่นี้หมายถึงวิธีคิดที่โครงการจะนำไปเชื่อมต่อในชุมชน ถึงกระนั้นการใช้วิธีการเล่าความก้าวหน้าก็ใช้ไม่ได้กับทุกโครงการ บางโครงการเล่าไม่ได้ เขียนก็ไม่ได้ แต่กิจกรรมชัดเจนว่าจะต้องทำอะไร กรณีตัวอย่างโครงการการลดต้นทุนการผลิตบ้านทุ่งกล้วยใต้ อ.เมือง จ.ลำปาง นักวิจัยทุกคนเป็นชาวบ้านล้วนๆ ไม่มีแม้แต่แกนนำที่เป็นผู้นำชุมชนเลย มีเพียงความเชื่อมั่นที่ต้องการลดต้นทุนในการผลิตทางด้านการเกษตรเท่านั้น ทำให้ NODE เองต้องหาวิธีการรองรับต่อกรณีข้อจำกัดที่เกิดขึ้น โดยสร้างเงื่อนไขให้กับทีมวิจัยว่าทุกวันที่ 10 ต้องมีสมุดบันทึกมาส่งทุกคน ซึ่งจะต้องเขียนงานที่ตนเองได้ทำลงไป ตามที่ตนเองคิด อาจจะวาดรูปหรือเขียนระบายความรู้สึก หรืออะไรก็ได้ และมาตีความกันในวันที่ 10 ความหลากหลายของวิธีการและกลยุทธ์ที่ NODE ต้องสร้างขึ้นนั้นมิใช่เพื่อตอบสนองเป้าหมายการทำงานของ NODE แต่เป็นไปเพื่อเป้าหมายที่ได้วางไว้ร่วมกันของโครงการวิจัยในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น NODE เป็นเพียงผู้ที่เข้าไปหนุนเสริมกระบวนการและกระตุ้นวิธีคิดให้กับชุมชน และเลือกวิธีการที่เหมาะสมสำหรับตนเองเท่านั้น ซึ่งเชื่อว่าชุมชนเองมีวิธีการจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นได้เองตามวิธีที่เหมาะสม เพียงแต่ไม่ได้ถูกรวบรวมไว้เป็นระบบเท่านั้นเอง ซึ่ง NODE เองก็ทำงานภายใต้ความเชื่อนั้นมาโดยตลอด ท้ายที่สุดแล้ว NODE หรือ สกว. ก็ไม่ได้ทำหน้าที่ในฐานะของแหล่งทุนอีกต่อไป แต่ต้องทำให้แหล่งทุนนั้นกลายเป็นสมบัติของชุมชน ที่ชุมชนสามารถนำมาใช้เพื่อเกิดผลประโยชน์สูงสุดสำหรับคนในชุมชนได้ NODE จะกลายเป็นเพียงศูนย์ประสานงานที่คอยประสานคน/ชุมชน ได้มาพูดคุยและลุกขึ้นมาจัดการกับปัญหาร่วมกัน คนทำงานก็คือชาวบ้านหรือนักวิจัยที่สามารถกำหนดทิศทาง ควบคุม และสร้างรูปแบบงานวิจัยเพื่อท้องถิ่นได้ในอนาคต เวทีวันที่ 10 ของ NODE ลำปางถูกวางแนวทางให้ดำเนินและเป็นไปอย่างเชื่อมั่นว่าสุดท้ายแล้วชาวบ้านจะขึ้นมาควบคุมบังเหียน สร้างสถาบันที่ว่าด้วยการจัดการโดยชุมชนภายใต้ชื่อ “แสนผญ๋า ปุ๋มปัญญาชาวบ้าน” และเป็นสัญลักษณ์ทางด้านการเรียนรู้ภายใต้ชื่องานวิจัยเพื่อท้องถิ่นของคนลำปางต่อไป
“เงื่อนไขสำคัญของการเรียนรู้ คือความใคร่รู้ ใคร่ลอง ใคร่เห็น เป็นไปตามธรรมชาติของมนุษย์ เพียงมีโอกาสให้มนุษย์ได้เรียนรู้ ได้ลอง ได้เห็น ตามธรรมชาติที่เป็นไป ก็จะส่งผลถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทั้งจริตและวิถีชีวิตของชุมชน”
ไม่มีความเห็น