วันที่ต้องย้ายที่นอน


เลี้ยงส่ง

วันที่ 10 พฤษภาคม 2550

วันนี้เป็นวันที่ 4 แล้วของการใช้ชีวิตที่สิงคโปร์ หลังจากกินขนมปังและซีเรียลเสร็จแล้ว ก็ติดต่อไปที่ MHC ว่าผลการตรวจร่างกายได้หรือยัง รู้หรือไม่ว่าก่อนโทรศัพท์แต่ละครั้งนั้น ผมมีอาการตื่นเต้นเสียทุกทีไป นั่นก็เพราะว่ากลัวฟังไม่รู้เรื่อง แต่ก็ไม่มีปัญหามันสามารถติดต่อกันได้เสมอ ผมคิดว่าความต้องการอยู่รอดของคนมันน่าจะชนะได้ทุกสิ่ง ก็อย่างที่เคยเห็นในโฆษณานั่นประไร คนขายของที่จบป.4 ยังสามารถขายของกับฝรั่งได้เลย แม่ผมเองก็จบป.4 แต่ท่านก็เคยทำงานเป็นตัดผ้า รีดผ้าส่งฝรั่งได้สบายมาก เป็นอันว่าในช่วงเช้านี้ ผลการตรวจร่างกายของผมออกแล้ว แต่ยังไม่ได้รับการลงนามรับรองจากหมอ เขาให้ผมโทรกลับไปใหม่ช่วงบ่าย เสร็จจากนี้ก็โทรไปที่ SIC อีกครั้งเพื่อยืนยันการเข้าพัก ผมโชคดีที่วันนี้อ.เต็มศักดิ์ว่าง อาจารย์บอกว่าจะช่วยขนของไปส่ง เราวางแผนกันว่าจะรอ Genes ซึ่งจะเลิกงานประมาณช่วงเย็น เผื่อว่าในอนาคตเขาจะได้ติดต่อกับผมอีกต่อไป                

ผมหมกตัวเองอยู่ในห้องจนถึงเที่ยง เขียนบันทึกบ้างเล่นเกมในโทรศัพท์บ้าง ก็ไปกินข้าวเที่ยงกัน ผมกับอ.เต็มศักดิ์เดินไปที่ศูนย์อาหาร Maxwell อีกครั้ง เพราะอยากให้อ.เต็มศักดิ์ลองกินข้าวมันไก่ไหหลำดูบ้าง ปรากฏว่าคนยืนรอคิวยาวมาก แต่ไหนๆก็มาแล้วต้องกิน อาจารย์จึงยืนรอ ส่วนผลก็เดินไปหาก๋วยเตี๋ยวกิน เลือกแบบที่น้ำแกงสีส้มๆหน่อย ลักษณะคล้ายแกงกะหรี่ หน้าตาเลยดูเหมือนข้าวซอยบ้านเรา แต่จืดกว่ามาก ในราคา 3 เหรียญก็อยู่ท้องแล้ว อย่างไรก็ตามมันก็ยังไม่สุดๆ หลังจากมื้ออาหารผมก็โทรศัพท์ไปถามที่ MHC อีกรอบ ก็พบกับคำตอบเดิมคือ หมอยังไม่ได้ลงนาม ให้ผมติดต่อพรุ่งนี้ ผมได้ SMS ไปบอก Fernandi ซึ่งเขาคอยผมตั้งแต่เช้า แต่ไม่ยอมโทรไปเองเลย เนื่องจากว่าเขายังไม่มี sim card ของโทรศัพท์ที่นี่เหมือนผม สงสัยว่าเขาจะ SMS ไปหา Jessica เพื่อบอกถึงปัญหา เธอเลยจัดการโทรไปที่ MHC เองเลย ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง Fernandi ก็ SMS มาบอกว่าทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เราจึงนัดพบกันที่ Outram MRT แล้วจับรถไฟฟ้าไปขึ้นที่ Tanjong Pagar เดินอีก 5 นาทีก็ถึง MHC ซึ่งเราได้รับผลที่แจ้งว่าฟิตเปรี๊ยะ และได้ฟิล์มเอกซเรย์แถมมาด้วย จากนั้นเราก็จับรถไฟฟ้าไปที่ Chinatown MRT แล้วเดินหาถนน Havelock ที่นี่เราสามารถหาถนนได้ง่ายมาก เพราะข้างถนน สี่แยก หรือที่ไหนก็ตาม จะมีชื่อถนนระบุไว้อย่างละเอียดมาก เราเดินต่ออีก 5 นาทีก็ถึงกระทรวงแรงงาน (MOM) แล้ว ระหว่างนั้นผมก็ได้รับโทรศัพท์ของ Judy เธอแจ้งว่า Dr Han อยากให้ผมไปเริ่มงานในวันพรุ่งนี้ ผมก็เลยบอกไปว่า ผมกำลังไปยื่นเอกสารเพื่อขอ training visit pass (TVP) ซึ่งคาดว่าน่าจะได้ในวันรุ่งขึ้น (วันศุกร์) และอีกอย่าง ในประกอบวิชาชีพเวชกรรมชั่วคราวระบุว่า ผมสามารถเริ่มงานได้ในวันจันทร์ที่ 14 นี้ จะว่ายังไง เธอก็ตอบว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวจะแจ้ง Dr Han ให้ทาบอีกที เธอได้ถามเรื่องที่พักของผม เมื่อรู้ว่าผมพักที่ SIC เธอแปลกใจเล็กน้อย เพราะว่ามันอยู่ไกลพอใช้ เธอบอกว่าที่ KKH เขา round กันประมาณ 8 โมงเช้า แล้วผมจะทันหรือ เธอยังบอกอีกว่าตามหน้าหนังสือพิมพ์มีประกาศเรื่องบ้านเช่ามากมาย เดี๋ยวเวลาเจอกันจะเอาให้ดู ผมก็ตอบขอบคุณไป ในใจก็นึกว่า คนที่นี่ที่ผมพบ ล้วนแล้วแต่ดีในความรู้สึกเราทั้งนั้น ขณะเดียวกัน Jessica ก็รู้เรื่องที่พักของผม และฉงนเช่นเดียวกัน เธอบอกว่าหากผมจะโดยสารโดยรถแท็กซี่ก็สามารถเบิกคืนได้นะ เธอคิดว่าการนั่งรถบัสนั้นไม่สะดวกเลยสำหรับผม ก็รู้สึกขอบคุณอย่างมากในความห่วงใย แต่ผมคิดว่าเราน่าจะสามารถอยู่ได้ ลองดูสัก 1 เดือน หากไม่พอใจก็ค่อยขยับขยายออก ไม่น่าจะมีปัญหา (ในใจก็คิดเรื่องโจ๊กว่า น่าจะออกค่าที่พักให้เลยสิ ผมจะได้มีโอกาสหายใจมากกว่านี้หน่อย แค่คิดนะครับ ไม่ได้บอกใคร ถ้าได้ก็ดี แต่ไม่คิดจะขอก่อน)                

ที่ MOM เป็นอาคารขนาดกลาง มีป้ายบอกชัดเจน ผมเดินเข้าไปพร้อม Fernandi ภายในชั้นล่างโล่ง โอ่งโถง มีป้ายแสดงให้เราทราบว่าต้องไปรับบัตรคิวที่ไหน ไครจะไปทำเอกสารเรื่องใดเราสามารถดูได้จากบริเวณนี้แล้วกดปุ่มเอา ผมดูรายละเอียดทั้งหมดแล้วกดที่ตัว U ที่บอกว่าจะไปขอ work permit ได้ลำดับที่ U975 ในบัตรคิวยังระบุอีกด้วยว่า ให้ไปรอที่ชั้น 2 บริเวณเคาเตอร์ 12-30 เชื่อหรือไม่ว่ามีคนนั่งรอเต็มไปหมด สำหรับคิวของตัว U ตอนนั้นอยู่ที่ราวๆ 845 แล้วนี่ผมจะต้องไปรอนานแค่ไหน แค่นั่งไปไม่นานก็สังเกตว่า ที่นี่ทำงานกันอย่างรวดเร็วมากๆ สำหรับคิวร้อยกว่าๆ กว่าจะถึงผมก็ใช้เวลาราวๆ 40 นาทีเท่านั้น เจ้าหน้าที่ที่ผมเดินเข้าไปหาเป็นหญิงวัยกลางคน อายุราวๆ 45 เธอต้อนรับด้วยรอยยิ้ม ผมยื่นเอกสารที่ทาง KKH เตรียมไว้ให้อย่างดี พร้อมถุงฟิล์ม เธอบอกว่า ไอ้ซองใหญ่ๆนี้ไม่เอา (ดูไม่เป็น) เอาผลการตรวจอย่างเดียว และขอเอกสารสำเนาใบปริญญาบัตรภาษาไทย และใบจบบอร์ดภาษาไทย ดีที่ผมนำติดตัวไปด้วย เธอเก็บ passport และบัตร white card จาก immigration ไปด้วย และบอกให้ผมมารับวันรุ่งขึ้น ซึ่งเขาเขียนขั้นตอนสอนผมอย่างชัดเจนมาก  ว่าเวลาทำงานคือ 8.00-16.45 น. เมื่อมาถึงให้ไปที่บัตรคิว กดตัว H แล้วมานั่งรอที่เคาเตอร์หมายเลข 38 อย่างนี้ถูกใจกะเหรี่ยงอย่างผมมาก ก่อนจะออกผมถามเธอว่า ผมต้องการกลับเมืองไทยทุก 2-3 สัปดาห์ จะต้องทำอย่างไรเพิ่มเติมบ้าง เพราะจะได้ตอบคำถามที่ immigration ได้ง่าย เธอบอกว่าจะออกเป็น multiple visits ให้ผม ดีอย่างมากเลยใช่ไหมครับ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยก็โทรไปหา Judy เพื่อบอกว่าได้ TVP พรุ่งนี้ ฉะนั้นจะเข้า KKH ช้าหน่อย                

ผมแยกย้ายกับ Fernandi ที่สถานี Chinatown เพราะจะเดินกลับโรงแรม เนื่องจากมันอยู่ใกล้กันมาก เพียง 10 นาทีก็ถึงแล้ว ภารกิจแรกคือโทรศัพท์ไปแจ้งที่ SIC ก่อนเพื่อถามว่าจะปิดกี่โมง ผมคาดว่าจะออกจากโรงแรมราวๆ 6 โมงเย็น เนื่องจากผมกลัวว่าเขาจะปิด office แล้วเดี๋ยวจะต้องหอบข้าวของพะรุงพะรังกลับโรงแรม เธอบอกว่าไม่เป็นไรเพราะเปิดอยู่ตลอด ผมย้ำว่าให้จัดการห้องไว้ให้เรียบร้อยก่อนจบการสนทนา                Genes มาหาที่ห้องเวลาประมาณ 6 โมงกว่าๆ ซึ่งผมได้จัดแจงเก็บข้าวของเรียบร้อยแล้ว ซึ่งก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า เรียบร้อยของผมนั้นเรียบร้อยจริงไหม ผมไม่ได้จัดของลงกระเป๋าเองมานานมากแล้วตั้งแต่แต่งงาน จำได้ว่าจิ๋มทนเห็นการเก็บผ้าใส่กระเป๋าของผมไม่ได้ เนื่องจากไม่มีความเป็นระเบียบ เสื้อผ้ายับยู่ยี่ และอะไรอีกสารพัด ท้ายที่สุดผมก็ต้องนั่งดูอย่างเดียว ข้อดีคือผมสบาย เสื้อผ้าเรียบ แต่ข้อเสียคือบางครั้งก็ไม่รู้ว่าของใช้อยู่ตรงไหน บ่อยครั้งที่ต้องโทรศัพท์กลับไปหาภรรยาเพื่อถามหาของที่อยู่ในกระเป๋า หลังๆนี้จิ๋มรู้ทัน เลยบอกทุกอย่างว่าอะไรอยู่ที่ไหน แบบว่าติวเข้มกันเลยเชียว เราทั้งสามคนเดินทางไปกับแท็กซี่ครับ เขางงเหมือนกันว่า SIC อยู่ที่ใด แต่เนื่องจากมีแผนที่หยาบๆ กอปรกับผมได้นั่งรถบัสไปแล้วครั้งหนึ่ง จึงน่าจะไปกันได้  

ระหว่างทางผมกับอ.เต็มศักดิ์ได้แต่ดูและรำพึงรำพันว่า ทำไมหนอ ต้นไม้บ้านเขาจึงได้สูงใหญ่แม้กระทั่งอยู่ในเมือง มองไปทางไหนก็เห็นแต่ต้นไม้ รั้วบ้านก็เห็นต้นไม้หนาทึบแทนรั้วเหล็ก บางที่มีเฟิร์นขึ้นหนาทึบคลุมดิน ทั้งๆที่อาการก็แทบจะไม่ต่างจากบ้านเราเลย ทำไมหนอ ท้ายที่สุดก็ถึง SIC จนได้ในราคา 11.6 เหรียญ หลังจากติดต่อพนักงานแล้ว เขาก็พาผมไปยังห้องหมายเลข 1-18 ซึ่งผิดความคาดหายของผมเล็กน้อย เพราะคิดว่าจะได้อยู่ห้องที่เคยดูเมื่อวาน แต่ตอนนี้เป็นห้องที่มีคนอยู่ก่อน เป็นชาวเกาหลี อายุน่าจะราวๆ 20 กว่าๆ ช๊อคอ.เต็มศักดิ์และ Genes เหมือนกัน สำหรับผมทำใจยอมรับไว้แล้วก็คงไม่กระทบใจเท่าไหร่ เก็บข้าวของคร่าวๆเสร็จแล้วก็มาจ่ายเงิน ตอนแรกก็คิดว่า 750 เหรียญถ้วน ต้องเพิ่ม VAT 40 เหรียญ และมัดจำอีก 350 เหรียญ ก็ปาเข้าไป 1140 เหรียญ เล่นเอากระเป๋าฟีบเลย จ่ายด้วยบัตรเครดิตก็ไม่ได้ เค้าบอกว่าที่นี่ส่วนใหญ่เป็นนักเรียน เขาไม่มีบัตรเครดิต ดังนั้นไม่คุ้มที่จะมีเครื่องรูดบัตร                

จ่ายเงินเสร็จแล้วก็ออกไปกินข้าวกันต่อ Genes จะสอนวิธีการขึ้นรถบัส และวิธีสังเกตป้ายที่จะลง ผมก็บอกว่าผมจำได้หมดแล้ว ป้ายรถบัสที่นี่ดีมากๆ เพราะว่าเขาจะแสดงเส้นทางเดินรถไว้ให้ดู ประเภทที่ว่าในตลอดสายนั้น จากป้ายที่เราอยู่ต่อเนื่องไปข้างหน้า จะแสดงเป็นแถบสี ป้ายที่ผ่านมาแล้วเป็นสีเทา เราจะไม่ต้องกังวลเลยว่า เรากำลังจะขึ้นรถขาขึ้นหรือขากลับ อยากให้ที่กรุงเทพเป็นอย่างนี้บ้างจังเลย คนขับรถที่นี่เขาทำหน้าที่ทุกอย่าง ตั้งแต่เปิดปิดประตู ดูคนขึ้นลง ดูการจ่ายเงิน การใช้ EZ Link card ไม่รีบออกรถ ไม่ซิ่ง ไม่เปิดประตูเมื่อไม่ถึงป้าย ดูแล้วมันช่างต่างจาก ขสมก.จริงๆอย่างฟ้ากับเหวเลย

เรานั่งรถผ่าน KKH ไป 1 ป้ายเพื่อจะลงที่ป้าย Little India จากนั้นก็เดินต่อไปอีกประมาณเกือบ 20 นาที มื้อนี้เรากินอาหารญี่ปุ่นกัน คิดถึงน้องแป้งเป็นที่สุด เพราะหากมาคงกินปลามากูโร่ดิบแน่ๆ ส่วนน้องจ้าก็มีไข่ตุ๋นไว้บริการ ผมสั่งปลาซาบะย่างซีอิ้ว กินเกือบจะไม่หมด รวมมื้อนี้จะกี่เหรียญก็ไม่รู้ เพราะอ.เต็มศักดิ์เป็นคนเลี้ยง ถือโอกาสฉลองที่ผมออกจากห้องไปได้เสียที (ฮา) ออกจาร้านเราก็เดินกลับมาทางเดิม เพื่อที่จะส่งผมจริงๆเสียที รถบัสคันแรกหมายเลข 170 ผ่านมาผมไม่กล้าขึ้นเพราะว่าตอนมาขึ้นเบอร์ 48 อีกอย่าง เบอร์ 170 จะจอดที่ถนน Bukit Timah แล้วผมต้องเดินผ่าหมู่บ้านมาอีก 100 เมตรน่าจะเปลี่ยว เลยรอเบอร์เดิม สงสัยว่าสายนี้คนจะไม่ค่อยขึ้น เพราะรออยู่นานประมาณ 10 นาทีจึงมีมา ได้ล่ำลากันแบบไทยๆคือการไหว้ ผมไหว้ลาทั้งอาจารย์และ Genes (อาจารย์ผมเหมือนกัน) และขึ้นรถจากไป               

จับเวลาได้ประมาณ 10 นาทีก็ถึงป้ายที่จะต้องลงคือ Lutheran building แต่เนื่องจากว่าผมหาทางข้ามถนนไม่เห็นเลยไม่กล้าลง จึงลงป้ายถัดไป ปรากฏว่าเดินไกลกว่าเดิมเล็กน้อย ตอนที่เดินบนฟุตบาทสังเกตเห็นว่า มีต้นไม้ใหญ่ขวางอยู่ เขาทำทางเดินอ้อมต้นไม้แทนที่จะตัดต้นไม้ออก ดีจริงๆ               

กลับถึงห้องก็ราวๆสามทุ่มเหลือ หนุ่มน้อยชาวเกาหลีกำลังนั่งหน้าคอมพิวเตอร์อยู่ เมื่อผมเข้ามาเขาก็อาบน้ำ ตอนนี้เรื่องแปลกก็เกิดขึ้นคือ เธอแก้ผ้าในห้องเพื่อเข้าไปอาบน้ำเลย ก็ตกใจเล็กน้อยเพราะไม่ชิน แต่ก็คิดได้ว่ามันอาจจะเป็นวัฒนธรรมของเขาเอง เอาล่ะตามสบาย แต่ผมคงไม่แก้ตามไปด้วยหรอกนะ จิ๋มเตรียมผ้าเช็ดตัวมาให้เรียบร้อยโรงเรียนสิงคโปร์แล้ว               

ผมจัดแจงเรื่องความสะอาดของตัวเองเสร็จก็มานั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ด้วยความกระหาย เหมือนคนติดยากำลังจะคลั่งยังไงยังงั้น ไม่ได้เปิดเมล์มาหลายวัน เหมือนฉันขาดเธอ ว่าไปดูเหมือนจะเว่อร์ แต่ผมว่าใครที่มีวิถีชีวิตผูกติดกับข่าวสารก็คงรู้สึกและเข้าใจผมดี ครั้งหนึ่งอ.ชัชวาล สูติแพทย์โรงพยาบาลหาดใหญ่เคยเล่าให้ผมฟังเรื่องเวลากับคนแต่ละสมัย ตอนนั้นเราไปประชุมกันที่ต่างจังหวัด ท่านอ้างไปถึงเรื่องนางนาก ที่สมัยก่อนเวลาคนจะกินข้าวต้องเริ่มตั้งแต่นำข้าวเปลือกมาตำก่อน เมื่อตำแล้วก็จะพาไปร่อนเอาเปลือกออก เหลือข้าวสารมาเท่าที่พอจะกิน จากนั้นจึงเริ่มก่อไฟจุดฟืน ว่าจะติดก็ใช้เวลาไปส่วนหนึ่ง เมื่อได้หุงข้าวก็ต้องคอยคนข้าว แล้วยังต้องมาดงอีก การดงใครทำเป็นบ้างยกมือขึ้นแล้วอธิบายให้ฟังหน่อยเถิด เพราะมัน เลือนรางจากสมองผมเต็มทน แต่ต่อมาเมื่อมีไฟฟ้า ก็หุงกับหม้อหุงข้าไฟฟ้า แล้วสังเกตไหม หม้อยุคใหม่หุงข้างเสร็จเร็วกว่าเดิมมาก ชนิดที่ว่า เราเริ่มลงมือกินคำแรกในจานนี้แล้วรีบตั้งหม้อข้าว กดปุ่ม เมื่อหมดจานเราสามารถเติมข้าวจากหม้อใหม่ได้ทันที จะให้เร็วกว่านั้นทำยังไงล่ะครับ ไปซื้อสิ ไม่ถึง 5 นาทีก็ได้กินแล้ว (ไม่รวมเวลาการอคิว) อีกตัวอย่างที่ทุกคนอาจจะร้องอ๋อคือการใช้คอมพิวเตอร์ ลองหลับตานึกย้อนไปสิ สมัยที่เราใช้ DOS เรารอนานแค่ไหน เดี๋ยวนี้แค่คลิ๊กเดียวก็ไปได้รอบโลกแล้ว สมัยเมื่อยังเป็นแพทย์ใช้ทุนปีต้นๆ เริ่มมี internet ให้ใช้ในโรงพยาบาล กว่าจะรอให้หน้าจอคอมพิวเตอร์เปลี่ยนไปแต่ละหน้า นั่นรอกันนานเป็น 5 นาทีก็รอได้ แต่เดี๋ยวนี้สิ หากกดปุ๊บภาพไม่มาปั๊บแทบอยากจะตายให้ได้                

คืนนี้ง่วงนอนเต็มที แต่อุตส่าห์นั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์จนเที่ยงคืนจึงถึงเวลาร่ำลา พรุ่งนี้แล้วสินะจะได้ไปทำงานจริงๆเสียที

หมายเลขบันทึก: 95696เขียนเมื่อ 11 พฤษภาคม 2007 20:52 น. ()แก้ไขเมื่อ 21 มิถุนายน 2012 15:39 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

สวัสดีครับอาจารย์

  ขอบคุณเรื่องเล่าและบันทึกครับ  เหมื่อนได้เที่ยวเลยครับ

ชอบแง่คิดจากการสังเกตเล็กน้อยๆในสิ่งที่พบเจอค่ะ บอกให้รู้ถึงความเป็นคนละเอียดอ่อนของคนเขียนนะคะ ขอบคุณอ.หมอธนพันธ์ที่เก็บมาเล่าค่ะ
  • คงสังเกตอาการดีใจจนออกนอกหน้าของผมได้ ที่ผมจะได้ครองห้องพักเล็กๆนั้นคนเดียวเสียที
  • เหงาเลย


  • ผมไม่ได้ช๊อค เพราะอาจารย์แป๊ะมีเพื่อนร่วมห้องหรอกครับ ผมช๊อคเพราะคำว่า เกาหลี ต่างหาก ก็นักศึกษามหาวิทยาลัยท่าทางแบบเพื่อนร่วมห้องของท่านคนนั้น เพิ่งก่อคดีดังไปทั่วโลกที่อเมริกามาหยกๆ
  • ถ้าเขามีอาการแปลกๆ ก็อาราธนาหลวงพ่อและท่านจตุคามช่วยด้วยแล้วกัน

สรุปว่าเธอน่ารักดีครับ ขี้เกรงใจ คืนแรกผมขอปิดไฟฝั่งผม เขา OK และลุกขึ้นมาปิดฝั่งตัวเองด้วย แล้วนั่งใช้คอมพิวเตอร์มืดๆไปอย่างนั้นเลย เล่นเอาผมรู้สึกผิด วันหลังเลยนอนเปิดไฟ พอเธอเสร็จงานหรือลุกขึ้นมาเห็นผมนอนหลับ ก็ปิดไฟให้

เสียอย่างเดียวเปิดแอร์หนาวมากๆ บางคืน 22 องศาเลยครับ ผมงี้ขาชาเลย

อย่างว่าแหละที่เกาหลีนี่  22 อาศาน่าจะกำลังสบาย แต่ไม่ยั่นครับ เพราะผมก็ยังคงนอนไม่ใส่เสื้อเหมือนเดิม

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท