ขยะชิ้นนั้น กับคอรัปชั่นแผ่นดิน


ทำดีได้ไม้ต้องอายใคร

      น้องนกน้อยเป็นเด็กต่างจังหวัด ที่เข้ามาศึกษาต่อระดับมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ ในขณะนั่งรถโดยสารกลับที่พัก  น้องนกน้อยต้องนั่งแยกกับเพื่อนๆ ที่นั่งอยู่ด้านหลังรถประจำทางสายนั้น

 

หลังจากรถโดยสารจอดรับผู้โดยสารในป้ายแห่งหนึ่ง ด้วยเหตุบังเอิญ ที่นั่งผู้โดยสารเต็มพอดี  มีเพียงนักศึกษาหญิงคนหนึ่งต้องขึ้นมายืนอยู่เพียงคนเดียว น้องนกน้อยนั่งอยู่ใกล้นักศึกษาหญิงคนนั้น และรู้สึกตะขิดตะขวงใจที่เห็นสุภาพสตรีต้องยืนอยู่คนเดียว โดยไม่มีใครลุกขึ้นให้นั่ง  หลังจากตัดสินใจอยู่นาน น้องนกน้อยจึงรวบรวม"ความกล้า" แล้วก็ลุกขึ้นให้นักศึกษาหญิงคนนั้นนั้ง จากนั้นจึงหันไปมองเพื่อนๆ ด้านหลังว่านั่งกันอยู่ตรงไหนบ้าง คิดในใจว่าเดี่ยวจะไปนั่งด้วย ทันใดนั้นเองน้องนกน้อยก็ได้ยินเสียงผู้โดยสารชาย ท่านหนึ่งพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ ทำน้องว่า น้องนกน้อยทำดีเพื่ออยากจะได้หน้า  สายตาทุกคู่จึงหันมามองน้องนกน้อย นาทีนั้น น้องนกน้อยรู้สึกอายมาก อายชนิดที่ว่าอยากจะแทรกพื้นรถโดยสารหนี  

 

น้องนกน้อยคิดในใจว่า น้องนกน้อยรู้แล้วละว่า ทำไมคนสมัยนี้ ถึงได้ใจดำกันนัก น้องนกน้อยจึงสัญญากับตัวเองว่า ต่อไปนี้น้องนกน้อยจะไม่ลุกให้ใครนั่งอีก ถ้าไม่ใช่คนแก่หรือเด็กตัวเล็กๆ จนกระทั่งวันหนึ่งน้องนกน้อยโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่  น้องนกน้อยจึงคิดได้ว่า การทำความดีนั้น ทำได้โดยไม่ต้องอายใคร เมื่อเราจะทำตัวเป็น"คนดี" แล้วทำไมเราต้องอาย  คนที่"ดีน้อย"ด้วยเล่า
      
     
การทำความดีเล็กๆน้อยๆ อย่างเช่นช่วยถือของให้  เห็นเด็ก คนชราหรือสุภาพสตรียืนอยู่ แล้วเราลุกให้เค้านั่ง การที่เราแยกขยะก่อนทิ้ง หรือแม้แต่กระทั่งเห็นขยะหล่นอยู่บนพื้น แล้วเราก้มลงเก็บนั้น มีผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อสังคมและประเทศชาติของพวกเราเลยทีเดียว ดังกับคำที่กล่าวว่า "เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว"

      
      
สมมุติว่า ต่างคนต่างแยกขยะก่อนทิ้ง หรือเห็นขยะตกอยู่แล้วเราช่วยกันเก็บ หากทุกคนทำแบบเดียวกันหมด รัฐบาลจะประหยัดเงินค่าทำความสะอาดและทำลายขยะได้อย่างมากมายมหาศาล ที่สำคัญเราจะสามารถลดภาวะโลกร้อนได้อย่างมากมาย

 

 หากตอนนี้เราอายหรือไม่กล้า แม้จะกระทำความดี ในเรื่องเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ โดยที่คิดว่าเป็นเรื่องยากที่จะทำ เช่นกลัวเหนื่อย กลัวสกปรก กลัวไม่พบถังขยะ หรือกลัวแม้กระทั่งสายตาคนมอง กลัวฯลฯ..(ลองทดสอบกับตัวเองดูครับ มือสกปรกล้างได้แต่"ใจสกปรก"ล้างยากครับ)จนเราละเลยเรื่องง่ายๆเหล่านี้ไป หรือไม่ได้กระทำความดีจนเกิดเป็นนิสัย  

 หากวันหนึ่งเรา โตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ มีโอกาสได้ทำงานในหน่วยงานแห่งหนึง แล้วพบว่า ในหน่วยงานนั้นมีการทุจริตคอรัปชั่นขึ้นมา เราก็จะไม่มีความกล้าและพลังของความดีพอ ที่จะทำความดี เรื่องใหญ่ที่อาจจะถึงชีวิต  หรือไม่ก็อาจจะเห็นดีเห็นงามกับการกระทำที่ผิดนั้นไปด้วย เหมือนกับที่เรา เห็นขยะตกอยู่บนพื้นแล้วไม่เก็บนั่นเอง
     
      
การเริ่มสะสมความดีจากความดีชิ้นเล็ก ชิ้นน้อยนี้ จะเป็นภูมิคุ้มกันที่สร้าง"เกราะกายสิทธ์"ป้องกันความชั่วร้ายต่างๆ  ไม่ให้เกิดขึ้นในใจเรา ยิ่งสะสมมากพลังก็ยิ่งมาก

                          
คนดี ต้องใช้ใน"ปัญญา"การทำความดี  มิเช่นนั้นแล้ว คนดี จะอยู่ดี.........ได้ไม่นาน ทำดีได้ไม้ต้องอายใคร ปล.ขยะชิ้นนั้นอาจสะสมจนกระทั่งท่อระบายน้ำอุดตันและเกิดปัญหาน้ำท่วมเมือง หากลอยลงสู่ทะเลอาจจะทำให้สัตว์ทะเลบางชนิดสูญพันธ์...ฯลฯ  อย่ารอให้น้ำท่วมโลกเนื่องจากปัญหาโลกร้อน เราจึงสะดุ้งตื่นกัน ซึ่งสะเทือนถึงดวงดาวจริงๆ
หมายเลขบันทึก: 95507เขียนเมื่อ 11 พฤษภาคม 2007 02:29 น. ()แก้ไขเมื่อ 20 มิถุนายน 2012 14:35 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (13)

เด็กรุ่นใหม่กำลังอายที่จะทำดี

นี่คือความจริงของสภาพสังคมเน่าๆของเรา

 

เห็นด้วยนะคะ

การทำความดีสมัยนี้กลายเป็นสิ่งน่าอาย

แต่พอทำความชั่ว ยืดหน้าชูตา พูดได้อย่างภาคภูมิ

ไม่มีหิริโอตัปปะเลย

อืม กระแสสังคม แรงจริงๆๆ ถ้าพัดไปทางไหน

คนก็หลงไปทางนั้น แม้ทางนั้นจะไม่ดีก็ตาม

สวัสดีครับ คุณพระอาทิตย์ยามเช้า
P

ใครตื่นแล้วได้ชมพระอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้า ถือเป็นกำไรชีวิตอย่างหนึ่งครับ

ปรากฎการณ์อายที่จะทำดีที่เกิดขึ้น เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงปัญหาสังคม  บอกพวกเราว่า....ถึงเวลาแล้วละที่พวกเราจะต้องหันมาต่อสู้กับปัญหาอย่างจริงจัง

ไม่ใช่ปัญหาของฉัน ไม่ใช่ปัญหาของท่าน แล้วใครจะแก้

อาจารย์ครับ ผมพยายามโยงกับคอรัปชั่นแผ่นดิน  ยังไปไม่ได้ครับ

ผมขอเอาไป รวมตะกอน นะครับ ขอบคุณมากครับ

สวัสดีครับคุณP  สิทธิรักษ์

อย่าเรียกผมว่าอาจารย์เลยครับ ผมเป็นเพียงคนติดดินคนหนึ่งเท่านั้นเองครับ

เท่าที่สามารถสอนได้ และพยายามฝึกอยู่ ก็สอนตัวเองนั่นละครับ

ตนเป็นที่พึงของตนครับ

 

ส่วนเรื่องขยะและคอรัปชั่นนั้น มันเป็นเรื่องที่มีสาเหตุต้นตอจากเรื่องเดียวกันครับ

นั่นคือความรับผิดชอบ จิตสำนึกและกตัญญูครับ

 

เชิญชมคลิปวีดีโอการทำกิจกรรมของเสียเหลือศูนย์ของนักเรียน

http://www.roong-aroon.ac.th/km/TVChanal.htm

สวัสดีค่ะ

ดีใจค่ะที่มีบันทึกดีๆแบบนี้

แต่อยากบอกว่า เด้กวัยรุ่นดีๆก็ยังมีมากนะคะ เห็นและสัมผัสด้วยตัวเองค่ะ

คนดีก็มี ไม่ดีก็มี แต่ขอให้ดีมากกว่าไม่ดี

อยู่ที่การอบรมบ่มนิสัยที่ครอบครัว โรงเรียน และสิ่งแวดล้อมค่ะ

เด็กทำตามผู้ใหญ่ ต้องอบรมทั้งเด็กและผู้ใหญ่ครับ

.........ทำดีได้ไม่ต้องอายใคร..........

อ่านคำนี้ของอาจารย์(ไม่ทราบว่าจะเรียกอาจารย์ว่าอย่างไรอ่ะค่ะ จึงขออนุญาตเรียกท่านว่าอาจารย์ด้วยคนนะคะ)  รู้สึกละอายแก่ใจ

เนื่องจากว่าเมื่อสมัยเรียน ม.ปลาย ตอนนั้นเย็นแล้ว  ฝนก็ตก  นักการเมี่ยงกำลังอยู่บนรถเมล์คันหนึ่งเพื่อกลับบ้าน  มีคน ๆ หนึ่ง (จำไม่ได้แล้วว่า หญิงหรือชาย)  ผอม แต่งตัวมอซอ  ตากฝนขึ้นมาบนรถเมล์   มีเสื้อผ้าที่ไม่น่าจะกันหนาวได้  และมีเพียงกระดาษหนังสือพิมพ์ช่วยห่อหุ้มร่างกายเพื่อช่วยกันหนาว  เนื้อตัวเปียกโชก และกำลังหนาวสั่น

คนทั้งรถ ก็มองดูคน ๆ นั้น  โดยมิได้มีใครทำอะไร  ......นักการเมี่ยงก็เช่นเดียวกัน........  ขณะนั้น นักการเมี่ยงมีเสื้อคลุมตัวหนึ่งใส่สวมทับเสื้อยืดอยู่  ก็คิดว่า  ......เราน่าจะถอดเสื้อคลุมให้เค้านะ.....  ได้แต่คิด ไม่กล้าทำ   อายที่จะทำดี

จนกระทั่งปัจจุบัน  เรื่องนี้ก็ยังไม่ลืมเลือนจากใจ  ว่าทำไมวันนั้นเราไม่กล้าให้เสื้อกับคน ๆ นั้น (เสื้อคลุมธรรมดา ราคาก็ไม่ใช่ว่าแพง)

วันนี้มาอ่านเรื่องของอาจารย์  เลยอยากมาร่วมแชร์ประสบการณ์

และอยากขอยืนยันด้วยว่า  .........ทำดีได้ไม่ต้องอายใคร..........  มิเช่นนั้นอาจต้องเสียใจจนถึงปัจจุบัน

.......นักการเมี่ยง........

 

  • ผีเสื้อแห่งความดี/ความจริง/ ขยับปีก แล้วในเวปนี้
  • แวะมาอ่านครับ พอดี สัมผัสถึงสายลมเย็น จากปีผีเสื้อเลยแวะมาอ่าน
  • นั่งๆ เล่นคอมพ์ อยู่ รู้สึกแผ่นดินสะเทือนด้วยครับ สงสัยมีคนกำลังเด็ดดอกไม้อยู่ อิๆ
  •  แวะมาทักทายครับ มีหลายบันทึกน่าอ่านจะแวะมาอ่านอีกนะครับ

ทำดีมันแน่แล้ว   มีดี แน่เฮย
ทำชั่วจักเป็นดี    ไป่ได้
คนดีย่อมทำดี     ความชั่ว ไม่ทำ
คนชั่วทำดีได้     แต่ใช้ หวังผล

สวัสดีครับคุณP ก๊วนคุณสะอาดสองแคว

ดีแล้วครับที่คุณนักการเมี่ยงรู้สึกผิด และยังคงมีเหตุการณ์นั้นอยู่ในใจ เพราะเราจะ

ไม่พลาดทำ ในสิ่งที่ไม่ควร และ

ไม่พลาดที่จะทำ ในสิ่งที่ควรอีก

มีเรื่องเล่าจากพระท่านหนึ่งท่านได้เล่าว่า

ผู้หญิงคนหนึ่งมีความทุกข์และรู้สึกผิดมาตลอดชีวิต เนื่องจากตนได้ขับรถไปเกิดอุบัติเหตุ จนทำให้เพื่อนรักต้องเสียชีวิตถึงสองคน ส่วนตัวเองรอดเพียงคนเดียว ทั้งๆที่ในตอนแรกเพื่อนของเธอไม่ได้อยากจะเดินทางไปกับเธอเลย และเธอก็เป็นคนคะยั้นคะยอแกมบังคับให้เพื่อนไปกับเธอและก็ประสบอุบัติเหตุและทำให้เพื่อนของเธอต้องเสียชีวิตในที่สุด 

เหตุการณ์นั้นเป็นเหมือนหนามที่ทิ่มแทงใจอยู่ตลอดเวลา แม้จะเป็นเวลาหลายปีแล้ว แต่เธอก็ยังคงรู้สึกผิดและมีความทุกข์อยู่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา แม้ใครๆจะบอกว่ามันเป็นเพียงอุบัติเหตุแต่ก็มิอาจทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นเลย

จนกระทั่งเธอไมพบพระรูปนี้ เธอได้เล่าสิ่งที่อยู่ในใจให้ท่านฟัง คำที่ทำให้เธอต้องอึ้งไปก็คือ สมควรแล้วที่เธอรู้สึกจะรู้สึกผิด เพราะส่วนใหญ่ หากไปเล่าความทุกข์ในใจให้ใครฟัง เขาจะปลอบว่ามันไม่ใช่ความผิดของเธอ มันเป็นอุบัติเหตุ

จากนั้นท่านจึงแนะนำให้เธอไปทำงานอาสา ช่วยดูแลผู้ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ความทุกข์ที่เกิดขึ้นตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมานั้น ก็ได้แปรเปลี่ยนเป็นความสุขที่เกิดจากการเป็นผู้ให้และการทำความดีในที่สุด

หากถอดรหัสธรรมแล้ว การที่เรารู้สึกผิด สำนึกผิดและตั้งใจที่จะไม่ทำมันอีก ก็เป็นเหมือนการขอศีลในวันอุโบสถน์ เมื่อพระทำผิดศีลนั่นเอง

นี่กระมัง จึงเป็นเหตุที่ว่า ทำไมเวลาพระทำผิดศีลจึงขอศีลได้อีกและการที่พระต้องมีศีลมากมาย สองสามร้อยข้อนั้น ก็จะทำให้ต้องเจริญสติในชีวิตประจำวันอย่างยิ่ง ที่จะไม่พลาดทำผิดศีลข้อใดข้อหนึ่งไป

 

 

ทรัพย์ที่มองไม่เห็น

รีไซเคิล ไม่ได้ให้เพียงทรัพยากรกลับคืนมาเท่านั้น เพราะทำให้คุณธรรมเรื่องกตัญญูเกิดขึ้นด้วย

คุณธรรมข้อสำคัญที่จะทำให้เกิดคุณธรรมข้ออื่นๆตามมา

น่าเสียดายที่กระทรวงศึกษาธิการก็มิได้บัญญัติไว้ในคุณธรรมพื้นฐาน 8ประการ 

http://gotoknow.org/blog/buddhistschool/155938

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท