เมื่อเฝ้าดูจิตในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา พบว่าจิตของเรานั้นวิ่งไปมารวดเร็วมาก วิ่งไปเรื่องนั้นเรื่องนี้ ไปอดีต ไปอนาคต ไปเรื่องที่พอใจ เรื่องที่ไม่พอใจ หรือบางครั้งหลุดไปอยู่นานกับเรื่องบางเรื่องจนเราเองก็ไม่รู้ตัว คือมัวแต่ติดพันกับเรื่องนั้นๆ เคลิ้มไปกับจิตใจที่คิดฟุ้งซ่านเป็นเรื่องเป็นราว
เมื่อก่อนเวลาฝึกสมาธิผมมักจะท้อแท้และโกรธตัวเองว่าทำไมนะ ใจไม่นิ่งเลย ทำไม่ก็แค่จิตของเราแล้วเราคุมไม่ได้ เหมือนจับมันขังเอาไว้ก็เท่านั้นเอง แต่ทำไม่เคยได้
ช่วงหลังมาคือการทำหน้าที่เป็นผู้ตาม ผู้รู้จิตเหล่านั้น ไม่บังคับ ไม่ฝืนเขา เพียงรับรู้ว่าเรากำลังคิดเรื่องอะไร และพยามดังจิตมารู้ที่ลิมหายใจเข้าออก หรือรู้กาย รู้เวทนา ของเราในขณะนั้นๆ
เคยได้ยินอาจารย์บางท่านว่าเมื่อเราทำตัวให้รู้มากๆ จิตที่ชอบดิ้นพล่านหรือเที่ยงล่องลอยก็จะสงบลง เพราะเราเจริญสติ จนรู้ทัน ดักไว้ทัน (การรู้หรือปัญญาจะมาแทนที่ความไม่รู้)
ที่เขียนไปก็ไม่แน่ใจซะทีเดียวว่าถูกต้องทั้งหมดหรือไม่นะครับ แต่ว่าพยามเขียนจากประสบการณ์ จากสิ่งที่กำลังปฏิบัติ และหวังผลยิ่งๆขึ้นไปครับว่า จะเป็นมนุษย์ที่มีสติ สมาธิ และปัญญา ที่ดีขั้น พัฒนาได้มากขึ้นเรื่อยๆ เพื่ออาจจากความไม่รู้ และความทุกข์ ครับ....
สวัสดีค่ะคุณหมอสุพัฒน์ kmsabai
ดิฉันก็ทำอย่างเดียวกันเลยค่ะ เพราะจิตก็วิ่งไปมา ซนยิ่งกว่าลิงค่ะ แม้จะลดความซนไปมากแล้วก็ตาม บางทียังวนกลับไปคิดบางเรื่องค่ะ
ตามดูอย่างเดียวเลยค่ะ เพราะห้ามไม่ได้หรอกค่ะ ตอนนี้ดีว่าจะรู้ตัวว่าตัวเองกลับไปคิดอีกแล้ว พอมีสติค่ะ คิดเหมือนคุณหมอที่บอกว่าไม่ต้องไปห้าม แค่ตามดู แล้วจิตจะค่อยๆ นิ่งมากขึ้นค่ะ
ขอบคุณที่นำประสบการณ์มาเล่าสู่กันฟังนะคะ...
สวัสดีครับคุณหมอสุพัฒน์
ตามอาจารย์กมลวัลย์มาแวะเยี่ยมเยียนตามประสาคนบ้านใกล้เรือนเคียง
ยืนยันว่าสิ่งที่คุณหมอปฏิบัตินะถูกต้องแล้วครับ
หลวงปู่ดูลย์ท่านสอนให้ทำความรู้ตัวเต็มที่ และ"รู้อยู่กับที่" โดยไม่ต้องรู้อะไร ทำความ"รู้ตัวอยู่เฉยๆ" ไม่ต้องไปจำแนก แยกแยะ อย่าบังคับ แต่ก็อย่าปล่อยให้ล่องลอยตามยถากรรม เมื่อรักษาได้สักครู่ จิตจะคิดแส่ไปในอารมณ์ต่างๆโดยไม่มีทางรู้ทันก่อน(สำหรับผู้ฝึกใหม่) ต่อเมื่อจิตแล่นไปคิดไปในอารมณ์นั้นๆจนอิ่มแล้ว ก็จะกลับรู้สึกตัวขึ้นมาเอง
หลังจากที่รู้ตัวแล้ว ให้พิจารณาเปรียบเทียบสภาวะของตัวเอง ระหว่างที่มี"ความรู้ตัวอยู่กับที่"กับ"ระหว่างที่"จิตคิดไปในอารมณ์ต่างๆ" ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร เพื่อเก็บไว้เป็นข้อมูล(อุบาย)สอนให้จิตจดจำ
เมื่อปฏิบัติไปเรื่อยด้วยอุบายอย่างนี้ ไม่นานนักก็จะสามารถคุมจิตได้ และบรรลุธรรมในที่สุด โดยไม่ต้องปรึกษาใครเลย
ผมกับอาจารย์กมลวัลย์ได้ใช้วิธีนี้อยู่ครับ เห็นได้ชัดเลยว่า "กิเลสปรุงจิต หรือจิตปรุงกิเลส" กิเลสชนิดไหนที่หมดไปแล้ว ชนิดไหนที่ยังเหลืออยู่ และเหลืออยู่มากน้อยเท่าไร เรารู้แจ้งในจิตเราเอง โดยไม่ต้องถามใครจริงๆ
สวัสดีครับอาจารย์
ฝากชี้แนะด้วยครับ
แวะมาทักทายคุณหมอค่ะ..ห่างหายไปนานเหมือนกันนะคะ..คุณหมอสบายดีมั๊ยคะ..
อากาศอย่างนี้..สำหรับตัวเองที่ยังกิเลสหนา(แหะ..แหะ)ไม่เหมาะกับการทำสมาธิซักเท่าไหร่..เนื่องจากกิเลศง่วงเหงาหาวนอน..ชนะทุกทีเลย..เฮ้อ..
สวัสดีครับ