เมื่อวานเขียนบันทึกเกี่ยวกับกิจกรรมที่ไปปฏิบัติธรรมที่วัดป่าธรรมอุทยาน แต่ยังไม่ได้พูดถึงบทเรียน ข้อคิดสำคัญที่ได้จากการไปฝึกควบคุมจิตที่บริเวณรอบวัดในช่วงกลางคืนวันที่สองของการไปปฏิบัติธรรม แม้แต่น้องๆ บางคนที่ยังเด็กอยู่ ไม่เคยสัมผัสการปฏิบัติธรรมมาก่อนก็ผ่านบทเรียนดีๆ ไปได้ทุกคน
การปฏิบัติธรรมที่วัดแม้จะเป็นการทำงานทั่วไป เช่น ทำกับข้าว ล้างจาน กวาดบ้าน ถูบ้าน ล้างห้องน้ำ ก็เป็นกิจกรรมที่ทำให้เราฝึกดูจิตได้ ที่บริเวณอ่างล้างจานจะมีกระจกติดไว้ ตอนแรกก็สงสัยว่าเอาไว้ทำอะไร เมื่อไปล้างจานเห็นติดคำว่าดูจิตไว้ที่กระจก จริงๆ ก็คือสังเกตสีหน้าคนล้างเองนั่นแหละว่าขณะนั้น เหนื่อย หงุดหงิดหรือไม่ หน้าบึ้งตึงหรือเปล่า เพราะหากเรามีจิตจดจ่อกับงาน และมีสมาธิขณะทำงานใดๆ ปราศจากความคิดอกุศล ก็เรียกได้ว่าปฏิบัติธรรมแล้วสำหรับ
บทเรียนสำคัญที่เกริ่นนำว่าการไปฝึกสติที่ป่าช้า ใกล้หลุมศพบ้าง บริเวณรอบๆ สระน้ำบ้าง ก่อนออกไปก็ได้ดูวีซีดีให้ปลงเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ เรื่อง การเกิด การตาย ได้รับฟังการบรรยายเกี่ยวกับ ขันธุ์ 5 ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้จิตเราหวั่นไหวไปทั้งดีหรือไม่ดี การทำใจให้สงบด้องใช้สติปัญญาป้องกันไม่ให้ขันธุ์ 5 อันประกอบด้วย รูป เวทนา สัญญา สังขาร และ วิญญาณ มาทำให้ใจเราหวั่นไหว
การรับรู้สิ่งต่างๆ ที่เข้ามาสัมผัส อายตนะทั้งหก อันได้แก่ ตา หู
จมูก ลิ้น กาย ใจ บวกกับความคิดปรุงแต่งที่เราเก็บไว้ในสมอง ทำให้จิตของเราไม่ว่างเกิดการหวั่นไหว สติปัญญาเท่านั้นที่จะช่วยควบคุมความคิด และจิตให้แยกออกจากกัน ถ้าจิตสงบ กายก็จะสงบด้วย ถ้าเรารู้เท่าทันจิต เรียกได้ว่ามีสติแล้ว
จากทฤษฎีสู่ภาคปฏิบัติ
เมื่อมีผู้นำพวกเราแต่ละคนไปปล่อยไว้ตามจุดต่างๆ ตามที่จับฉลากได้ มีข้อกำหนดว่าจะตัองอยู่คนเดียวในที่มืดนั้น เป็นเวลานานเท่ากับธูปหนึ่งดอกหมด โดยจุดธูปไว้ที่จุดปฏิบัติธรรม ไม่มีการบอกว่าให้เราทำกิจกรรมอะไรเมื่อไปอยู่ ณ ที่นั้น รู้แต่ว่าต้องฝึกสติ รู้ตัวว่าคิด รู้สึกอะไร มีวิธีควบคุมความคิด ความรู้สึกอย่างไร ก็คือการฝึกสติเป็นสำคัญนั่นเอง
สำหรับตัวเองแล้ว 10 นาทีแรกหมดไปกับการเคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และสวดมนต์เพื่อทำจิตให้สงบ สิ่งที่เข้ามาสัมผัส ณ ขณะนั้นหลักๆ ก็คือ เสียงมาสัมผัสหู ซึ่งมีทั้งเสียงที่อยู่ในระยะใกล้ ได้แก่ จิ้งจก ลูกไม้หล่นลงพื้นเป็นระยะเวลาไม่แน่นอน เสียงอะไรตกลงในสระน้ำ เสียงตัวอะไรร้องครืดคราด ส่วนเสียงในระยะไกล ก็มีเสียงตุ๊กแก เสียงรถที่วิ่งอยู่นอกวัด พูดถึงเสียงก่อนเพราะเป็นตัวที่ทำให้จิตวูบ (มีอาการสะดุ้ง) โดยเฉพาะเสียงของอะไรที่ตกลงมาไม่แน่นอน และเสียงที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร ส่วนทางจมูกก็จะมีกลิ่นธูป และกลิ่นผลไม้เน่าที่หมักหมมเหม็นเปรี้ยว กลิ่นที่ได้สัมผัส จะเข้ามาเป็นระยะมิได้สัมผัสได้ตลอด ส่วนทางกายก็มีลมพัดมาทางขวามือ เมื่อพัดมาทีไรจะรู้สึกเป็นสุข เพราะช่วงนั่งอยู่รู้ตัวว่ามีเหงื่อออก แต่ลมไม่ได้พัดมาบ่อย ในช่วงแรกความคิดมีแว่บเข้ามาเยอะมาก มีทั้งเหตุการณ์ในวัด คำพูดที่เพิ่งได้ฟังมา รวมทั้งภาพจากวีซีดี ณ 10-15 นาทีแรกนั้นรู้ดีว่าสมองเป็นคลื่นเบต้าแน่นอน แต่เมื่อคิดขึ้นมาได้ว่าช่วงปรับตัวกำลังจะผ่านไปแล้ว จิตเริ่มสงบขึ้นเมื่อคิดได้ว่า เราต้องทำตัวให้เป็นหนึ่งเดียวกับสภาพแวดล้อมที่ล้อมรอบตัวเรา เราไม่ใช่สิ่งแปลกแยก ต้องกลมกลืนเข้ากับธรรมชาติ จิตจึงหยุดนิ่งและทำสมาธิได้ พอเริ่มสงบได้ประมาณ 20 นาทีเวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่ในความสงบนั้นใช่ว่าจะไม่รู้สึกอะไร อย่างที่บอกว่าได้ยินเสียงต่างๆ สัมผัสกลิ่นทางจมูก และลมพัดมาถูกด้านขวาของคอ (ตอนนั้นใส่เสื้อแขนยาว) ทุกครั้งที่รับสัมผัสชวนจิตวูบ ก็ต้องรู้ตัว ควบคุมความคิด และจิตให้ได้ด้วยสติ
ทุกคนที่ผ่านการฝึกสติ สามารถควบคุมตัวเองได้ ไม่มีใครกลัวจนขาดสติ แล้ววิ่งหนีกลับที่พักแม้แต่คนเดียว วิธีควบคุมตนเองของแต่ละคนก็มีหลากหลายวิธีแตกต่างกันไป บางคนนั่งไม่ติด ก็ลุกขึ้นมาเดินจงกรม บางคนก็เอาหนังสือสวดมนต์ไปด้วย บางคนก็พกหลวงพ่อที่นับถือไปนั่งเป็นเพื่อน
สิ่งที่เป็นบทเรียนสำคัญครั้งนี้คือ
- เมื่อมีสิ่งใดมากระทบกาย หรือจิตของเราทั้งเป็นสิ่งที่ชอบ หรือไม่ชอบ เราต้องรู้ตัว และรู้จักควบคุมให้จิตสงบด้วยสติ สำหรับตัวเองแล้วที่ผ่านมาจะสวดมนต์และตั้งจิตอธิษฐานทุกคืนก่อนนอน ขอให้มีสติตักเตือนตนเองให้ได้มิให้ประพฤติมิชอบ ต่อไปคงต้องตั้งมั่นเพิ่มที่จะควบคุมความคิดของตนเองให้ได้อีกด้วย
- การควบคุมความคิดทั้งที่เป็นความคิดแบบวิจารณ์ อันได้แก่ การเปรียบเทียบปัจจุบันกับอดีต หรือการคิดเพ่งโทษ ตำหนิ หรือก่นด่าผู้อื่น หรือความคิดแบบวิตกคือกังวลถึงอนาคต สิ่งที่ยังไม่เกิดก็ไปเป็นทุกข์ คิดปรุงแต่งเสียแล้ว ความคิดอีกสองอย่างที่ต้องตัดออกไปให้ได้ คือ อคติ และลำเอียง เรื่องนี้นำไปใช้ได้มากทีเดียวในการทำงานกับคนทั่วไป หรือแม้แต่คนในบ้าน ถ้าเราควบคุมความคิดเหล่านี้มิให้เกิดขึ้น หรือเมื่อเกิดแล้วใช้สติรีบดับ ก็จะทำให้จิตสงบขึ้น และสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความคิด หรือ ไอเดียดีๆ เชิงสร้างสรรค์น่าจะเกิดได้มากขึ้น
- ทำไมเดินข้ามสะพานสติ ตอนกลางคืนไม่มีความกลัวใดๆ ผิดกับตอนกลางวันอย่างสิ้นเชิง จับได้ว่าเป็นเพราะกลางคืนมองไม่เห็น สิ่งที่ตาสัมผัสได้จากไฟฉาย จำกัดอยู่แค่ทางเดิน สิ่งที่มาเร้าความคิด ความกลัวจึงน้อยลง วันรุ่งขึ้นตอนเช้า อาจารย์พาไปเดินและสอนให้เดินโดยใช้สติ รู้ตัว และควบคุมความคิดตัวเองให้ได้ ในที่สุดทุกคนก็สอบผ่าน เดินได้โดยไม่ต้องจับราวเลย แม้ว่าเวลาเดินจะเร็วบ้าง ช้าบ้างตามความคิดที่เข้ามา แต่ก็ไม่กลัวอีกแล้วถ้ามีสติ
วันนี้มีโอกาสได้อ่านหนังสือของอ.วรภัทธ์จบ (รวมบทความตามแนว มหาสติปัฏฐาน ๔) กล่าวถึงการติดตามดูจิตที่เกิดขึ้นเมื่อชำนาญแล้ว ต่อมาเมื่อพอรู้ว่าจิตเกิดให้ทำการดับเสีย โดยใช้ไตรลักษณ์ แต่สิ่งที่ยากที่สุดคือ ความคิดขาจรครับ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเร็วมาก แล้วจะเอาหนังสือไป share ให้ครับ
วันที่ไปนั่งคนเดียวผมว่าผมคงต้องฝึกอีกมาก ยังมีข้อสงสัยอยู่เยอะครับ แล้วจะมา share ให้วันหลังนะครับ
พี่ส้มครับรูปจากกล้องพี่ส้ม เทวดาเป็นรูปหกเหลี่ยมสวยดีครับ
เช่นเดียวกับพี่กวงค่ะ วันที่นั่งคนเดียวรู้สึกตัวเองว่านิ่งได้ไม่ค่อยนานเท่าไหร่ ความคิดขาจรมาบ่อยมาก จิตเกิดบ่อย กว่าจะตบได้ก็นานอยู่ค่ะ มัวแต่หันไปมองธูปเมือ่ไหร่หนอ เมือ่ไหร่ คิดอย่างนี้บ่อยทีเดียว
แต่มองในอีกแง่คือรู้ว่าตัวเองทำได้ดีกว่าที่คิดไว้มากๆ เพราะเตรียมยาดม ยาอมไปเพราะรู้ตัวเองว่าถ้ากลัว ตื่นเต้น จะรู้สึกอยากอาเจียร หายใจเร็วเหมือนคนแพ้กาแฟ แต่พอได้ลงนั่งทันใดนั้น อาการนั้นไม่เกิดขึ้นเลย (หหรือเกรงใจน้องเค้า ไม่อยากให้เค้ารู้สึกแย่ที่ทำให้เราแย่ ต้องมานั่งสูดยาดมข้างๆเค้า อิอิ) แปลกดีค่ะ
ขออนุญาตแปะ link บล็อคพี่ส้มตอนส่งเมลล์ให้พี่ๆหลายคนที่สนใจ เผื่อจะเป็นประโยชน์ต่อใครหลายคนค่ะ
สวัสดีค่ะ คุณออต
โชคดีมากค่ะ ที่อยู่ขอนแก่น ลองหาโอกาสไปคุยกับป้าใบ ก็ได้ค่ะ เป็นคนที่อยู่ดูแลวัด อ.แนะนำมา หรือลองไปสวดมนต์ทำวัตรเย็นประมาณ 6 โมงเย็น รู้สึกดีมากๆ ค่ะ กลับมาเล่าให้คนที่บ้านฟัง เขายังอยากไปปฏิบัติธรรมแบบนี้ ที่วัดนี้บ้าง
เสียดายทีไม่ได้พบน้องหนิงอีก ไม่งั้นคงคุยกันสนุกกว่าตอนเจอกันเที่ยวแรกไม่ได้คุยกันเลยนะคะ ได้แต่ฟังน้องหนิงคุยฝ่ายเดียว
ถ้ามาพร้อม อ.แป๋วคืนนั้น ก่อนที่พวกพี่จะออกไปฝึกสติที่มืดกัน จะได้ชวนไปด้วย วันนั้นชวน อ.แป๋วแล้ว แต่คงเกรงใจคนที่มาด้วย เลยขอตัวกลับไปก่อนค่ะ
สวัสดีค่ะ อ.ขจิต
ดีใจที่แวะมาเยี่ยมค่ะ และจะดีใจมากขึ้นถ้า อ.ได้ประโยชน์จากบันทึกนี้ค่ะ ตั้งใจเขียนมากๆ เลยนะคะเพราะมีน้องหลายคนที่อยู่รุ่นเดียวกันแต่ไม่ได้ไป ติดภารกิจในงาน อยากให้เขาได้อ่านด้วยค่ะ
โอกาสหน้าถ้าพี่ส้มได้มาอีก ชวนเลยนะคะ
ขอบพระคุณค่ะ
แป้ง |
โอ้โห... เยี่ยมเลยครับพี่ส้ม กับคำลงท้ายที่ตอบน้องแป้งไป "เจอตัวเองมากที่สุดล่ะมั้ง"
ได้คำตอบมาแบบนี้ ผมในฐานะคนพาไปก็ปลื้มสุด ๆ แล้วครับ เพราะท้ายสุดแล้ว การเรียนรู้ของหลักสูตรนี้คือ "การหาใจตัวเอง" ซึ่งถ้าเราหาเจอแล้ว "ก็เป็นสุข" อย่างที่อาจารย์บอกหล่ะครับ
แต่หลักจากที่พวกเราผ่านป่าช้ามาแล้ว กลับมาเจอป่าเร็วในกรุงฯ ผมว่าเป็นงานหนักสำหรับจิตอ่อนๆ ของพวกเราทุกคนเลยหละครับ แค่ตามความคิด+ดูจิตและตบจิตที่เกิดอยู่ทุกวันให้ได้ก็เหนื่อยแล้วนะเนี่ย - -")
^ ^
Tum |
MJ |
น้อง MJ
พี่ไม่รู้ว่า น้องสังเกตตัวเองหรือเปล่า ว่ามีอะไรที่เปลี่ยนไปบ้าง ใจเย็นขึ้นบ้างไหม อ่อนโยนขึ้นหรือเปล่า พี่คิดว่า พี่คงไม่ได้อุปทานนะ แต่สังเกตว่าน้องเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับ module แรกที่เราเพิ่งรู้จักกัน เป็นเพราะเราเปิดใจเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ โดยไม่รังเกียจ หรือต่อต้าน ซ้ำยังมีความตั้งใจเก็บเกี่ยวความรู้ พี่ไม่ลืมวันที่ไปสตึก ตอนแวะปั๊มน้ำมันแล้วน้องมาถามความเห็นพี่เกี่ยวกับการเลือกซื้อสมุดโน้ต ขอชื่นชมมากๆ ค่ะ
ชอเอาไปโฆษณาใว้ที่ http://www.managerroom.com/forums/forum_posts.asp?TID=1669&PN=1&TPN=1 นะครับ
ขอบคุณมากครับ
อนุโมทนาในบุญด้วยครับ
tpm |
ขอขอบคุณนะคะ คุณ tpm ที่แวะมาเยี่ยม
ถ้าคิดว่าบันทึกนี้จะเป็นประโยชน์กับคนได้มากขึ้น จะรู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก ขอบคุณที่ช่วยเผยแพร่นะคะ
สวัสดีจ้ะ nai-bom
แอบมาอ่านก่อน เวลาไปจริงจะไปสนุกอะไรล่ะ เล่นรู้ตอนจบไปแล้ว ใครแนะนำให้รู้จัก blog นี้ ต้องขอไปตีก้นซะแล้ว
ขอให้สนุกกับการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ นะคะ มีโอกาสพี่จะขอไปอีกค่ะ
วันที่ 18-20 ก.ค. จะได้กลับไปวัดธรรมอุทยานอีก เลยกลับมาอ่านบันทึกที่เขียนไว้ ไม่คิดไม่ฝันว่าความตั้งใจจะเป็นจริง เจ้านายใจดีอนุญาตให้ไป และไม่ต้องห่วงสุนัขที่ไม่สบาย เพราะเขาสบายไปแล้ว
คราวนี้เราจะไปในฐานะพี่เลี้ยง ของ Inno FA3 อาจจะได้ไปรำลึกความหลัง และเรียนรู้อะไรใหม่ๆ
บันทึกฉบับนี้มีสถิติคนมาอ่านมากที่สุดในบรรดาบันทึกของตัวเองที่เขียนมาหลายฉบับ แม้แต่ตัวเองกลับมาอ่านยังฉงนว่าเขียนไปได้ยังไง ดีใจที่บันทึกไว้ จะได้กลับมาอ่านอีกหลายๆ ครั้ง ช่วยชาร์ตแบ็ตได้ดีทีเดียว
http://gotoknow.org/file/citrus/mind_flow.pdf
ภาพในไฟล์อัลบั้มนี้ ช่วยให้เข้าใจการทำงานของจิต สติ ความคิด และการปล่อยวางความคิดทั้งหลายได้ง่ายขึ้น
เมื่อวานไปพบหนังสือเล่มหนึ่งโดยบังเอิญชื่อว่า "ทวาร 6 ศาสตร์แห่งการรู้ทันตนเอง" แต่งโดยทันตแพทย์สม สุจีรา เปิดอ่านดู รู้ว่าแนว เลย ก็แนวเดียวกับที่เราไปฝึกจิตกันมาที่วัดป่าธรรมอุทยาน จะไม่ให้เรียกว่าบังเอิญได้อย่างไร ในเมื่อ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา วารสารพนักงานฉบับที่เราเขียนเรื่องปฏิบัติธรรมเพิ่งออกวางแผง มีพนักงานบางท่านได้อ่านแล้วชอบ ทำให้เรารีบซื้อหนังสือเล่มนี้ทันที เผื่อจะนำมากลั่นกรองความคิดของตัวเองได้ดีขึ้น
กำลังศึกษาอยู่ค่ะว่าอยากไปปฏิบัติธรรมที่นั่น...ตัวเองอยู่กาฬสินธุ์ค่ะ ( อยู่ใกล้ซะเปล่า ) แต่อยากเรียนถามคุณส้มค่ะ( ไม่รู้เรียกชื่อถูกไหมคะ ) ว่าจะต้องเตรียมตัวอย่างไร...สามารถเตรียมอะไรไปได้บ้าง...ที่นอน..ความเป็นอยู่...สุดท้ายก็คือ..ต้องเตรียมอะไรบ้างคะ...จะได้เตรียมตัวถูก
และจะหาวันไปให้เร็วที่สุดค่ะ..ขอบคุณมากนะคะ