การตระหนักถึงปัจจุบันและคิดดี ทำดีในปัจจุบันให้ดีที่สุดต่อตนเอง ต่อคนรอบข้าง และต่อสังคม น่าจะเป็นการดีที่สุดสำหรับ เรา นะครับ
ตอนนี้เป็นตอนจบของ As The Future Catches You : การพัฒนาของเทคโนโลยี
....พัฒนาการต่อเนื่องจากการค้นพบ DNA ได้นำไปสู่การจดลิขสิทธิ์ต่างๆ ในเรื่องของ Genetics จนในปี 1996 มีการขอจดลิขสิทธิ์ด้าน Genetics ต่างๆ ถึง 500,000 ชนิด จากเพียง 4,000 ชนิด ในปี 1991 รวมทั้งมีการจดลิขสิทธิ์สัตว์ที่ผ่านการตกแต่ง Gene กว่า 100 ชนิดแล้ว ยิ่งเมื่อ Digital Language ถูกผูกโยงเข้ากับ Genetics Language ทำให้ในวันนี้นักวิทยาศาสตร์ด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเภสัชกร นักการพลังงาน เครื่องสำอาง เกษตรอุตสาหกรรมต่างๆ ก็สามารถมีข้อมูลมากมายมหาศาลที่จะนำไปสู่การคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ได้อีกมากมาย และพวกนักวิทยาศาสตร์เหล่านี้ต่างก็เดินทางมุ่งสู่รัฐ/เมืองต่างๆ เหล่านี้ เช่น Maryland, Boston, Sanfrancisco และ Sandiego ซึ่งเป็นแหล่งชุมนุมของนักวิทยาศาสตร์ด้าน Genetics ของโลกไปแล้ว ดังนั้น การผสมผสานระหว่าง Digital + Genetics Convergence และมีการ Interchangeable กัน จึงมีพลังมหาศาลและสามารถปรับประยุกต์สิ่งต่างๆ ได้บนฐานของ DNA ที่ค้นพบในปี 1953 ได้(ในเชิงเปรียบเทียบ การที่เราได้ใช้แผนที่โลกในการค้นหาและสืบค้นสิ่งต่างๆ ได้มากมาย การค้นพบแผนที่พันธุกรรมของมนุษย์ก็สามารถทำให้มนุษย์ค้นพบสิ่งประดิษฐ์/นวัตกรรมใหม่ๆ ได้เช่นกัน) จึงเป็นไปได้ว่า Digital and Genetics Revolution สามารถทำให้สมองของมนุษย์ทำงานได้เร็วมากยิ่งขึ้นไปอีกเป็นล้านๆ เท่า เนื่องจาก Biology ทุกวันนี้ถูกผสมผสานด้วย Applied Math, Statistics, Computer Science and Robotics และจะกลายเป็น "Bioinformatics and Biocomputing" ในที่สุด Craig Venture และทีมงานแห่งสถาบัน The Institute for Genomic Research and Celera ก็เป็นผู้หนึ่ง ที่กำลังมุ่งมั่นสนใจในเรื่องนี้โดยเฉพาะการผลิต Supercomputer ที่มีความเร็วเป็น Petabytes -> Exabytes -> Zettabytes และ Yottabytes ในที่สุด และนี่เป็นจุดเริ่มต้นของ Digital-Genomics Convergence เท่านั้น ขณะนี้มีความเป็นไปได้ที่ Silicon Chip สามารถผนวกเข้ากันกับ DNA ของมนุษย์ได้ และกลายเป็น Organics Memory Chips ซึ่งในที่สุดแล้วก็จะสามารถบรรลุสู่แนวทางที่ IBM เคยตั้งความหวังไว้ คือ การผลิต Computer ที่ SMASH : Simple, Many, And Self-Healing นั่นหมายความว่า ในกรณีที่เกิดความผิดปกติตัวคอมพิวเตอร์จะ ต่อเข้ากับ Internet ด้วยตนเองแล้วแก้ไขความผิดปกติเองได้ ในปัจจุบัน Celera ก็กำลังมุ่งวิจัยคอมพิวเตอร์ที่นอกเหนือจากการปรับผสมเข้ากับ "Genomics" แล้ว ยังมุ่งไปสู่การปรับเข้ากับสาร Protein เป็น "Proteomics" ต่อไปด้วยGene Chips ในคอมพิวเตอร์ที่สามารถผลิตได้อาจพลิกโฉมเรื่องยาที่ใช้รักษาจากเดิมเป็นแบบ Treatment ก็จะเป็นในเชิง Preventive ดังนั้น ในชีวิตประจำวันของเราก็จะมีระบบป้องกันโรคต่างๆ ผ่านการกินอาหารผสม การใช้สบู่อาบนี้ เครื่องสำอาง หรือการกินยาเม็ดป้องกันเป็นกิจวัตรแทนที่การรักษาเมื่อเกิดโรคไปเลย
Nano Technology เป็นเทคนิคในการผลิตชิ้นส่วนขนาดเล็กมากขนาด 1/1,000 เมตร (Nano Scale) ดังนั้น มนุษย์จึงสามารถพิมพ์ Encyclopedia Britanica ทั้งเล่มได้ เพียงเท่า "หัวเข็มหมุด" และวันนี้ญี่ปุ่นสามารถสร้างรถยนต์ที่มีกลไลเหมือนรถยนต์จริงในขนาดเท่า "เมล็ดข้าว" ได้แล้ว ในเดือนพฤศจิกายน 2000 นักวิทยาศาสตร์แห่ง Cornell U. สามารถสร้าง Nanosubs ซึ่งมีขนาดเท่าไวรัส เท่านั้น ซึ่งในไม่ช้าอาจสามารถสร้าง Nanonurse ที่สามารถค้นหาเซลล์ที่ก่อให้เกิดโรคในร่างกายเราได้ และรักษาให้โดยถ่ายอณูของยาใส่ให้เลย ดังนั้น The 4 Revolutions ซึ่งประกอบไปด้วย Genomics, Proteomics, Biocomputing และ Nano Tech จึงสามารถก่อให้เกิดนวัตกรรม/สิ่งประดิษฐ์ได้มากมายในยุคของ Knowledge Economy นี้ ตัวอย่างในปี 2000 Eduardo Kac ได้นำเสนอกระต่ายขาวที่ชื่อ Alba ซึ่งมีคุณสมบัติเรืองแสงเป็นสีเขียวได้ในแสง Black Light เนื่องจากในตัวกระต่ายนี้มี DNA บางตัวที่ปลูกถ่ายมาจาก Gene ของปลาดาวเรืองแสง
ลองนึกถึง "เมล็ดพันธุ์" ที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ "Genetic Program" ในการแปรเปลี่ยนสสาร/พลังงานจากดิน น้ำ แสงอาทิตย์ให้เป็นไม้ ดอกไม้ และผลไม้จนได้ ดังนั้น ใครก็ตามที่มีความสามารถในการอ่านและเข้าใจ "Seed's Genetic Code" ได้ ย่อมสามารถที่จะแปรเปลี่ยน "เมล็ดพันธุ์" ให้มันเป็นอะไรก็ได้ วันนี้เราจึงได้พบเห็นการปรับเปลี่ยนใน Agribusiness ซึ่งเป็นลักษณะของ "Plant Reprogramming" อย่างมากมาย เช่น - ปี 1999 Monsanto และ Dupont ขายเมล็ดถั่วเหลืองได้ถึง 40% ของทั้งหมดที่ผลิตในอเมริกา และเกือบ 80% ของเมล็ดพันธุ์ข้าวโพด - Dow Chemical ผลิตข้าวโพดที่เป็นสสารแบบ biodegradableplastic - Dupont ผลิตเส้นใย Polyester ได้คล้ายเส้นไหม - กล้วยหอม และมะเขือเทศถูกปรับผสมให้สามารถมีส่วนผสมของวัคซีนที่กินแล้วป้องกันโรคต่างๆ ได้ด้วย เช่น อหิวาต์ โรคไวรัสตับอักเสบ - ยารักษาโรคหัวใจล้มเหลวสกัดมาจากต้น Foxglove หรือแอสไพรินได้มาจากสารสกัดในต้นนุ่น เป็นต้น ในทางสัตวศาสตร์ก็มีการปรับเปลี่ยนยีนส์พันธุกรรมได้เช่น ลิง ชื่อ ANDi (Inserted DNA . . . spelled backward) ก็เป็นสิ่งที่ถูกปลูกถ่าย DNA ของมนุษย์ลงไป หรือการพยายามปลูกถ่ายเอนไซม์มนุษย์ใส่หมู เพื่อต้องการเปลี่ยนถ่ายอวัยวะหมูเช่น หัวใจ ตับ ไต มาใส่คน ดังนั้น Knowledge-Driven Agribusiness จึงเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ และประเทศที่ไม่สามารถตามติดเรื่องนี้ได้ทันจึงมีโอกาสที่จะจนลงไปเรื่อยๆ
การแข่งขันในโลกทุกวันนี้หากใครไม่มี "Market-Savvy" และ "Technology Literate" ก็ยากที่จะดำรงอยู่ในโลกทุนนิยมที่เต็มไปด้วยการแข่งขันนี้ได้ นั่นหมายความว่า "Best Brains" เป็นสิ่งที่สำคัญและหายาก รวมทั้ง Brain ดีๆ ของมนุษย์เพียงไม่กี่คนก็สามารถสร้าง Output ได้มากกว่ามนุษย์ในอีกหลายล้านคนในหลายร้อยประเทศได้ เรื่องของ Educational Disparities ทางด้าน Digital Divides และ Technology Illiteracy จึงเป็น Hot Topic ที่ควรให้ความสนใจอย่างยิ่ง (ตัวอย่างในประเทศเกาหลีใต้คนที่จบ High School แล้ว ต้องสอบ Standardized Test และคนที่ได้คะแนนสูงๆ จะไม่มีสิทธิเลือกมหาวิทยาลัยเอง แต่จะถูกส่งเข้า Korea University และเด็กก็ยังไม่มีโอกาสเลือก Major คณะที่จะเรียน เพราะ Major คณะที่จะเรียนก็จะขึ้นกับ Score Test ที่ได้ จึงพบว่านักศึกษาดีๆ จะไม่ค่อยได้เรียนทางด้าน Law มากนัก นี่เองจึงเป็นสาเหตุให้ประเทศเกาหลีใต้วันนี้มีความเจริญก้าวหน้าและพัฒนา ทางด้านเทคโนโลยีค่อนข้างมาก)
ความยากจนก็เป็นอุปสรรคอย่างหนึ่งของการศึกษาเพราะคนจนมีโอกาสในการศึกษาค่อนข้างน้อย เพราะต้องรีบออกมาทำงานหาเลี้ยงชีพ ซึ่งหนีไม่พ้นงานประเภทต้องใช้แรงงาน และรายได้น้อยก็จะยิ่งจนลงไปอีก เช่น ประเทศอัฟริกาและลาตินอเมริกา และจากผลของการที่มีนักศึกษาไปเรียนต่อในอเมริกามากๆ ในขณะนี้ เมื่อเรียนจบแล้ว หลายคนก็จะใช้ชีวิตต่อในอเมริกา โดยอเมริกาจะจูงใจโดยออก Work Permit ประเภท H1-B high-tech work visa ให้ตามที่บริษัทเอกชนในอเมริกาเรียกร้อง ดังนั้น การรักษาความเป็นผู้นำทางด้าน Technology ของอเมริกาในวันนี้ส่วนหนึ่งจึงเป็นนโยบายในการ "Attracting extraordinary talent people from other countries" มนุษย์หลายพันล้านคนบนผืนโลกนี้ ไม่มีโอกาสเลือกในการดำรงชีวิตเท่าไรนัก เช่นคนในประเทศพม่านั้น การจะมี PC แม้เพียงเครื่องเดียวก็ยังต้องขออนุญาติมิฉะนั้นติดคุก 15 ปี แต่อย่างไรก็ตามก็พอจะมีมนุษย์อีกหลายๆ คนที่สามารถสร้าง "ทางเลือกในการดำรงชีวิต" ได้ เช่น มีสัดส่วน พลเมืองถึงเกือบ 10% ในยุโรปและอเมริกาเหนือที่เป็น Foreign-Born มาจากต่างถิ่น ซึ่งหลายคนอาจจะเป็นผู้อพยพ ลี้ภัยแต่หลายคนก็เป็นประเภท "Best & Brightest" เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐอเมริกาคนประเภทหลังนี้ สามารถทำงานอยู่ได้ในประเทศโดยไม่ต้องมี Visa หรือคอยหนีพวก Immigration เนื่องจากใน Knowledge Economy, You can work at home· 8% ของพนักงานบริษัท Sun Microsystems ทำงานที่บ้านแบบ Part-time· 1 คน จาก 3 คน ของชาวแคลิฟอร์เนีย ทำงาน 5-9 อย่างในเวลาเดียวกัน· รายได้ต่อปีของกลุ่ม Home-Only Teleworkers มากถึง $50k มากกว่ารายได้เฉลี่ยทั่วไปถึง 2 เท่า คนเหล่านี้ไม่สนใจว่ากำลังทำงานให้ใคร, ไม่สนใจว่าประเทศไหน และอยู่ใน Time-Zone อะไร (เมือง Bangalore ของอินเดียวันนี้เป็นเมืองผลิต Software เป็นอันดับสองของโลก)
White-collar workers in other countries
Are leaving their homelands . . .
Physically or Virtually (via the internet)
To work in places where they are treated better
And . . . often . . . Those who leave . . . are the most valuable. ·
Lee Kuan Yew ends his memoirs with "Will Signapore the independent city-state disappear? The island will not, but the sovereign nation . . . could vanish."· อินเดียแม้จะเป็นประเทศประชาธิปไตยที่ใหญ่โต และมี Technical School ที่มีชื่อเสียงดีมากถึง 6 แห่ง แต่ นักศึกษาที่จบส่วนใหญ่ก็มักไม่ค่อยอยู่ทำงานในอินเดียเพราะรู้สึกติดขัดในจารีต และกฎระเบียบบางอย่างของประเทศ· ใน Silicon Valley ขณะนี้เต็มไปด้วย "ICs" (Not integrated circuits. . . Indian and China) ซึ่งเป็นระดับ Senior executive ถึง 1 ใน 4 ของบริษัท Hi-Tech ในนั้น ดังนั้น วันนี้สหรัฐอเมริกาจึงยังมี Growth อยู่ส่วนหนึ่งก็เพราะคนต่างชาติเหล่านี้ที่มีพลังความรู้ทางด้าน Hi-Tech (The Technologically literate have a global passport and their citizenship is now a market) ·
Education . . . Democracy . . . Technology. . . Competitiveness. . . Individual economic opportunity . . .All these overused . . . Seemingly trite words. . . Have become matters of National Security. · Nations and Civilization do not prosper, or even survive very long if they can't provide the fundamental pillars of a Knowledge-Based Economy
เทคโนโลยีทุกวันนี้สามารถจะ Cloning สิ่งมีชีวิตต่างๆ ได้ทุก Species แม้ว่าในบางประเทศและบางรัฐ ในสหรัฐอเมริกาจะมีกฎหมายห้ามการ Cloning มนุษย์ก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงก็คือว่าในวันนี้นักวิทยาศาสตร์และบริษัท เอกชนบางแห่งกำลังแข่งขันกันอย่างเอาเป็นเอาตายในการจะ Decode และ Rewrite พวก Genomes ประเภทต่างๆ อยู่ อย่างไรก็ตาม เรื่องการต่อต้านการ Cloning มนุษย์จากกลุ่มเคร่งศาสนา หรือนักศีลธรรมต่างๆ ก็ไม่ใช่เรื่อง น่าห่วงนัก เพราะเมื่อเทคโนโลยีและโลกเปลี่ยนไปความคิดของคนก็ต้องเปลี่ยนไปด้วย ในอดีต เมื่อตอนมีการประดิษฐ์ "เด็กหลอดแก้ว" คนแรกของโลกที่ชื่อ Louise Jay Brown เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 1978 ก็มีการต่อต้านกันมาก แต่มาในวันนี้ 3 ใน 4 ของชาวอเมริกันกลับยอมรับในเรื่องนี้กันแล้ว และโลกนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกครั้งในเรื่อง Genomics โดยเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 1997 ได้มีการ Cloning ลูกแกะชื่อ Dolly Parton ขึ้น ใน Scotland จาก Adult cell ของแกะที่มีชีวิตอยู่ นั่นหมายความว่า นักวิทยาศาสตร์สามารถที่จะสร้างร่าง Copy ของตัวเราเองจาก Adult Cell ของตัวเราเองได้เช่นกัน การค้นพบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในขณะนี้ที่เกี่ยวข้องกับ Genomics คือการค้นพบ "แผนที่พันธุกรรมของมนุษย์" เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2001 และเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลก โดยค้นพบว่าร่างกายมนุษย์นี้ประกอบขึ้นด้วย Gene 26,588 ตัว และ Gene แต่ละกลุ่มต่างก็มีหน้าที่แตกต่างกันไปในร่างกายมนุษย์ และนี่เป็นจุดเริ่มต้นในการที่นักวิทยาศาสตร์จะหา Gene ทดแทน Gene ของมนุษย์ จากสิ่งมีชีวิต Species อื่นๆ ด้วย เนื่องจากมีบาง Basic cell ที่เหมือนกันอยู่ แผนที่พันธุกรรม (Gene Map) นี้จะสามารถเปิดโลกทัศน์ใหม่ทางเทคโนโลยีได้มาก แม้แต่ Sam Broader หนึ่งในสมองชั้นเลิศของโลก เป็นนักวิจัยด้าน Aids และอดีตเคยเป็นหัวหน้าสถาบัน National Cancer Institute ก็ยัง หันมารับตำแหน่ง Celera's Chief Medical Officer แห่งสถาบัน Celera ซึ่งสนใจเรื่องนี้อยู่ โดยมุ่งหวังที่จะค้นหายีนส์ที่จะก่อให้เกิดมะเร็งได้ก่อนล่วงหน้า และผลิตวัคซีนสกัดกั้น
การค้นพบแผนที่พันธุกรรม (Gene Map) เป็นสิ่งที่ เราไม่อาจคาดเดาได้ว่า อีกไม่นานนี้ จะมีสิ่งใดปรากฏออกมาอย่างน่าประหลาดใจ อย่างที่คาดไม่ถึง
- ซึ่งเมื่อก่อนใครจะ คาดคิดว่า จะมีจริง หรือ การนั่งคุยกันข้ามโลกเพียงปลายนิ้วสัมผัส
- เมื่อก่อน คำว่า มะเร็ง ต้อง มาคู่กับ การสูญเสีย แต่ เดี๋ยวนี้ สามารถรักษาหายขาดเหมือนหวัดธรรมดาได้
- อนาคต .. มนุษย์ อาจมีความต้องการ การมีชีวิตเป็น”อมตะ” (คล้ายๆหนังการ์ตูนหรือแวมไพร์) ซึ่งมีความเป็นไปได้จริงๆ ซึ่งไม่ว่า จะมีเทคโนโลยีที่ก้าวไกลเพียงใด ความปรารถนาของมนุษย์ที่ไม่มีวันสิ้นสุด ไม่มีวันพอใจนั้น .. เมื่อกิเลสเข้าครอบงำในจิตใจ.. เป็นแรงขับให้ มนุษย์มีการพัฒนาเกินควรกับความเพียงพอ และเป็นการฝืนธรรมชาติ การมีชีวิตอยู่รอดนั้น. จากการใช้เทคโนโลยีเพื่อความอยู่รอด เพื่อการปกป้อง มาสู่ การใช้เพื่อกิเลสที่มากเกินไป ย่อมเป็นการฝ่าฝืนธรรมชาติซึ่งมีความหมายเท่ากับคำว่าไม่รู้จักพอ สิ่งเหล่านี้นั้นย่อมทำให้มนุษย์ห่างเหินจากการเรียนรู้ในธรรมชาติ และทำร้ายธรรมชาติจน เกิดผลกระทบทางภัยพิบัติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เอลนิลโญ่ สึนามิ แผ่นดินแยก แผ่นดินถล่ม น้ำแข็งละลาย อากาศร้อนจัด เป็นต้น .. ซึ่ง การตระหนักถึงปัจจุบันและคิดดี ทำดีในปัจจุบันให้ดีที่สุดต่อตนเอง ต่อคนรอบข้าง และต่อสังคม น่าจะเป็นการดีที่สุดสำหรับ “มนุษย์” เพราะเราไม่สามารถเดาได้เลยว่าวันพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
อ้างอิงจาก Juan Enriquez : Harvard Business School ได้รับรางวัลบทความดีเด่นจาก Mckinsey Award
ขอบคุณค่ะ
สวัสดีครับ
คุณ
ตระหนักถึงปัจจุบันและคิดดี ทำดีในปัจจุบันให้ดีที่สุด
ถูกต้องมากไค่ เห็นด้วยๆๆ Think of the presentค่ะ
วิทยาศาสตร์ค้นหาสิ่งเดียวกันกับพุทธศาสตร์ แต่กลับล้าหลังกว่า
ความเป็นอมตะจะมีความหมายอะไร ถ้าใจยังทุกข์ หลายคนอยากตายทั้งๆ ที่ยังแข็งแรง หลายคนเป็นโรคร้ายแรงแต่ยังไม่อยากตาย ธรรมชาติมีความจริงซ้อนอยู่อย่างไม่สิ้นสุด
เป็นบทความที่น่าสนใจครับอ่านแล้วได้มุมมองที่แปลกดี แวะเข้ามาอ่านครับผม
สวัสดีครับ คุณ
สวัสดีครับ
ค่ะ วันนี้คือต้นทุนของพรุ่งนี้ค่ะ และจะพยายามทำวันนี้ให้ดีที่สุดค่ะ
คนเรามีการรักษาที่ดีมีคุณภาพ มีนวัตกรรมมีการวิจัยใหม่นับทำให้อายุขัยของคนเราสูงขึ้นทุกๆสิปปี
เห็นด้วยกับการก้าวหน้าทางเทคโนโลยี เช่นกันครับวิวัฒนาการทางด้านการซ่อมเครื่องยนต์รถ ก็ทำให้สามารถซ่อมเองได้ง่าย จนศูนย์ชักจะคิดรถใหม่ที่ต้องเข้าศูนย์เพื่อกันลูกค้าไปบำรุงรักษาข้างนอกที่ถูกกว่า40%
ขอบคุณนะคะ
บทความให้ข้อคิด ได้แง่มุมทางเทคโนโลยี
(แบบไม่เคยรู้มาก่อนเลยค่ะ )
และ ช่วยเตือนสติค่ะ
สวัสดีค่ะ
มาเยี่ยมอีกที นำดอกไม้มาฝาก เห็นว่า กำลังยุ่งเหลือเกินค่ะ เข้ามาอ่านอีกรอบด้วยค่ะ บันทึกคุรต้องอ่านหลายหน เนื้อหามากค่ะ
สวัสดีครับ.
ไม่ได้เข้ามานาน .. ขอบคุณครับที่มาเยี่ยม
สบายดีครับ
ขอบคุณ คุณ anita ครับ
ขอให้สุขภาพดี เช่นกันครับ
สวัสดีค่ะ
กลับมาแล้วหรือคะ ร้อนมากเลยนะคะ มีอะไรมาเล่าบ้างคะ
สวัสดีค่ะ
บรรยากาศ และสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไปมากค่ะ
ต้องช่วยกันคนละไม้ละมือค่ะ รักษาสิ่งแวดล้อมค่ะ คุณคงมีข้อมูลมากอยู่แล้วนะคะ
สวัสดีค่ะ
เอารูปสวยๆมาฝากให้หายร้อน และขอบคุณที่ยุ่งมาก แต่ยังแวะไปให้กำลังใจค่ะ
ตอนนี้ระบบนิเวศของโลกกำลังถูกรบกวนมากมาก เราคงต้องช่วยกันเท่าที่จะทำได้ เช่น การไม่ไปรบกวนนกในเมืองมาก การช่วยกันรักษาสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติให้มากที่สุดตามจังหวัดต่างๆของเรา ที่เมืองกาญจน์ ยังเหลือพื้นที่ป่าอีกมากค่ะ อย่าให้มีการทำลายเพิ่ม ระบบนิเวศน์จะฟื้นฟูตัวเองได้ แต่นานค่ะ
สวัสดีครับ
คุณพี่
ขอบพระคุณ