ในช่วง 2 เดือนนี้ คือ เดือนมีนาคม และเดือนเมษายน ดิฉันได้ทราบข่าวเกี่ยวกับผู้มีชื่อเสียง 3 - 5 คน ในเรื่องการจัดการความรู้นั้น เริ่มเป็นตัวปัญหาให้กับหน่วยงาน อาทิเช่น มีโลกส่วนตัวของตนเอง ทำงานกับคนอื่นไม่ได้ ทำงานแต่กับหน่วยงานภายนอก ทำงานเอาหน้า เอาคอมพิวเตอร์มาใช้เป็นเครื่องมือ ทำงานให้กับคนอื่น และ.......
ซึ่งแรก ๆ ที่ดิฉันได้ยินได้ฟังนั้นก็นึกงง ๆ ว่า "กำลังเกิดอะไรขึ้นหนอ" และก็ได้แต่ เวทนา และนึกสงสารองค์กรแต่ละองค์กรที่นำการจัดการความรู้เข้ามาใช้เป็นเครื่องในการทำงานและพัฒนาเจ้าหน้าที่ที่ 2 - 3 ปีผ่านมาว่า "สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ซึมซับและพัฒนาจิตใจของคน" ยังมีคนอีกไม่น้อยกว่า 80-90 % ที่ยังหลงอยู่กับ KM ยังใช้ KM แบบท่องจำ ยังใช้ KM เพื่อสร้างชื่อเสียงให้กับตนเอง ยังแบ่งพรรคแบ่งพวกกับการทำ KM และยังใช้ KM เป็นเครื่องมือในการจัดการคนทำ KM
ดิฉันจึงหันกลับมามองตนเองและพิจารณาตนเองเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยเช่นกันเพื่อทบทวนสติและทบทวนหลักการของตนเองแล้วพบว่า "KM ทำแล้วต้องมีความสุข ทำแล้วต้องมีเพื่อน ทำแล้วต้องระงับใจมิให้ว่าคนอื่น และทำแล้วต้องรู้จักการชม"
วันนี้จึงยังมีกำลังใจให้กับตนเองและยังคอยเป็นกำลังใจให้กับเพื่อนร่วมทีมจัดการความรู้ และคนที่ทำและใช้ KM ด้วยใจที่บริสุทธ์นั้น ท่านสามารถอยู่ในองค์กรได้ทุกหนทุกแห่ง เพราะท่านไม่เป็นพิษเป็นภัยกับทุกคน แล้วท่านจะมีเพื่อนเยอะ.
เห็นตรงและเห็นด้วย พร้อมนี้จึงขอแสดงควาคิดเห็นสนับสนุนในข้อความของท่านตรงนี้ที่ว่า
"KM ทำแล้วต้องมีความสุข ทำแล้วต้องมีเพื่อน ทำแล้วต้องระงับใจมิให้ว่าคนอื่น และทำแล้วต้องรู้จักการชม"
และด้วยความคิดที่อยากทำ KM แล้วมีความสุข เลยเลือกที่จะเสนอเรื่องสบายๆ เข้าไว้