บทที่ 1
1.1 ชาวอารยัน
คนกลุ่มแรกที่นักประวัติศาสตร์ให้ความสนใจศึกษาถึงต้นตอด้านจิตวิญญาณของมนุษย์นั้น คือกลุ่มชนที่อาศัยอยู่บริเวณที่ราบทางตอนใต้ของรัสเซียปัจจุบัน
ชาวอารยัน (Aryan) เป็นชื่อเรียกรวมชนเผ่าหลายชาติพันธ์ุที่มีวัฒนธรรมกลุ่มที่เนียวแน่น ใช้ภาษาโบราณซึ่งเป็นรากของภาษาเอเชียและยุโรปในปัจจุบัน
พวกเค้าอาศัยอยู่บนทุ่งกว้างบริเวณนั้นมาตั้งแต่ปี 4500 จนมาเมื่อสหัสวรรษที่ 3 ชาวเผ่าบางส่วนได้เริ่มกระจัดกระจายย้ายถิ่นฐานไปทางกรีก อิตาลี สแกนดิเนเวีย และ เยอรมัน
กลุ่มคนที่ยังคงปักหลักที่ทุ่งกว้างในรัสเซียก็เริ่มแบ่งแยกออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ กลุ่มหนึ่งพูดภาษาสำเนียงอเวสถาน (Avestan) อีกกลุ่มพูดภาษาสันสกฤตแบบโบราณ (Sanskrit)
ทั้ง 2 กลุ่มนี้ยังคงติดต่อกัน มีภาษาและวัฒนธรรมใกล้เคียงกัน อยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข (จนถึงปี 1500)
มันช่างเป็นช่วงเวลาที่สงบสุขเหลือเกิน พวกเค้าทำการเกษตร เลี้ยงแพะ และ แกะ สมัยนั้นม้ายังเป็นม้าป่า ไม่ได้เอามาเลี้ยง จะไปไหนก็เดินเอา สงครามก็ไม่มี มีแต่กระทบกระทั่งกันแบบลิ้นกับฟัน พวกเค้าไม่มีความจำเป็นหรือความต้องการที่จะต้องขยายอาณาจักร ไปรุกรานครอบครองดินแดนคนอื่นมาเป็นของตน
1.2 ชาวอารยันกับเทวนิยม
เช่นเดียวกับคนโบราณทั่วไปชาวอารยันรู้สึกได้ถึงพลังชีวิตในตัวเองและสิ่งรอบตัว พวกเขาให้ความสำคัญกับพลังที่มองไม่เห๋นเหล่านี้ แทบจะทุกอย่างรอบๆตัวเขาคิอสิ่งศักดิ์สิทธิ์
คน สัตว์ พืช และ สรรพสิ่งมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดในระดับวิญญาณ มีอยู่และคงอยู่ร่วมกันได้เพราะสรรพสิ่งล้วนเกิดขึ้นมาและ ถูกโยงให้ผูกพันกันด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์เดียวกัน
(พลังธรรมชาตินี้เรียกว่า mainyu ในภาษาอเวสถาน และ manya ในภาษาสันสกฤต)
พวกเขาได้พัฒนาพิํธีการสักการะบูชาเทพเจ้าขึ้นมา เค้าเคยบูชา the Sky God พระเจ้าที่อยู่บนฟ้าชื่อ Dyaus Pitr ผู้ซิ่งเป็นผู้ให้กำเนิดโลก แต่ชาวอารยันสมัยนั้นพบว่าท่านเข้าถึงยาก และอยู่ไกลเกินไป
ชาวอารยันจึงสักการะบูชาเทพเจ้าซึ่งเป็นสิ่งใกล้ตัวเช่น ไฟ ฝนและพายุ พวกเค้าเรียกเทพเจ้าเป็นภาษาอเวสถานว่า "เทวา" (daeva) แปลว่า ผู้ที่สว่างเป็นประกาย และ "อเมชา" (amesha) แปลว่าผู้เป็นอมตะ คำเดียวกันในภาษาสันสกฤตคือ "เทวะ" (deva) และ "อมริตา" (amrita)
ชาวอารยันสมัยนั้นเห็นสิ่งรอบตัวเป็นของศักดิ์สิทธิจริงๆ ตัวอย่างเทพที่พวกเขาบูชามีดังนี้
ชาวอารยันเชื่อว่าทุกสิงในธรรมชาติอยู่ร่วมกันได้อย่างมีระเบียบ เพราะมีพลังอันศักดิ์สิทธิการจัดความยุ่งเหยิงให่้เข้าที่เข้่าทาง ความเป็นระเบียบเรียบร้อย (order) นั้นเรียกว่า asha (ภาษาอเวสถาน) หรือ rita (ภาษาสันสกฤต) แปลตรงตัวว่าความซื่อสัตย์ ความจริง และ ความเคารพซึ่งกันและกัน
ชาวอารยันเชื่อว่าเทพVerunaเป็นผู้ดูแลระเบียบสังคมโดยมีเทพMithre เป็นผู้ช่วย ชาวอารยันมีข้อตกลงร่วมกันผ่านการสาบานว่า
ชาวอารยันสมัยนั้นไม่เน้นการทำความเข้าใจในสิ่งต่างๆจากการมองเห็น (visual) พวกเขาไม่ได้สร้างรูปจำลองมามองแล้วบูชา แต่พวกเค้าเชื่อว่าการฟังอย่างตั้งใจเป็นวิธีที่ทำให้เข้าถึงภาวะอันศักดิ์สิทธิได้ง่ายกว่า (เชื่อหูมากกว่าตาเห็น)
ชาวอารยันบวงสรวงเทพเจ้าทุกวัน บางพิํํํธีเรียบง่ายเช่นการโยนนมแข็ง (curd) หรือ เชื้อเพลิงอื่นๆในกองไฟเพื่อบูชาเทพอัคนี บางพิธีต้องบวงสรวงด้วยการถวายวัว
ดูเป็นเรื่องโหดร้ายของสมัยปัจจุบัน แต่ในสมัยนั้นนักประวัติศาสตร์ตีความว่า ชาวอารยันปลูกพืชไม่พอกิน ต้องฆ่าสัตว์ แต่ชาวอารยันจะทานเนื้อสัตว์ที่ผ่านพิธีบวงสรวงและ ผ่านการฆ่าแบบไม่ทารุณแล้วเท่านั้น พวกเขาทำพิธีเผาสัตว์เหล่านั้นด้วย เค้าเชื่อว่าวิญญาณของวัวที่ได้เสียสละชีพนี้จะกลับไปรวมในที่ที่เรียกว่า Geush Urvan หรือ วิญญาณสถานของกระทิง
ชาวอารยันรักวัวของเขา ไม่ยอมฆ่าวัวอย่างทารุณหรือไม่ผ่านพิธีเพราะเชือว่าวิญญาณเหล่านั้นจะสูญหายไป ทำให้วงจนการมีชีวิตอยู่ร่วมกันของสรรพสิ่งไม่ยั่งยืน
[แน่นอน มีคนที่ไม่เห็นด้วยกับการบูชายัญด้วยสัตว์แบบนี้ จะเล่าต่อไปในบันทึกคราวหน้าค่ะ]
การใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายสงบสุข แต่มีชีวิตชีวาใกล้จบสิ้นลงแล้วค่ะ
1.3 การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
ในช่วงปี 1500 ชาวอารยันเริ่มทำการค้าขาย แลกเปลี่ยนสิ้นค้ากับชาวเมโสโปเตเมียและชาวอาร์เมเนีย
ชาวอารยันได้รู้จักทองสัมฤทธิ์ (bronze) ที่นำมาทำเป็นอาวุธ รู้จักเกวียนไม้ จนในที่สุดชาวอารยันก็ได้รู้จักรถม้าที่ใช้ในการทำสงคราม
พอชาวอารยันรู้จักวิธีทำให้ม้าป่าเชื่อง นำม้ามาเป็นพาหนะควบคู่ไปการใช้รถม้าได้ พวกเขาก็รู้สึกถึงอิสระและความสนุกที่ได้จากการออกเดินทางไปตามที่ต่างๆ
คนที่ออกไปหาความตื่นเต้นบางส่วนกลับมาทำลายวัฒนธรรมเดิม ฆ่าสัตว์เป็นว่าเล่น โชว์พลัง ความสามารถใหม่กับเพื่อนบ้าน ใครไม่พอใจอะไรก็เอากำลังเข้าสู้ ใช้อาวุธอันมีประสิทธิภาพในทางที่ทำให้ชาวอารยันหัวเก่าปวดร้าวใจเหลือเกิน
ความก้่าวร้าวที่ไม่เคยมีให้เห็นมาก่อนได้แผ่ขยายไปทั่วทุ่งหญ้าแห่งนี้ แม้แต่หมู่บ้านที่ไม่อยากยุ่งกับใคร ก็ต้องลุกขึ้นมาเรียนวิธีีการต่อสู้พื้นฐานไว้ป้องกันตัวเองจากชาวอารยันหัวใหม่เหล่านี้
ศาสนาและวิธีชีวิตเก่าที่เคารพยกย่องวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของสรรพสิ่งหมดไป
อารยันสมัยใหม่นี้เคารพยกย่องอัศวินบนหลังม้า นักต่อสู้ที่แข็งแรง พวกเขายังเคารพเทพอยู่แต่เน้นความสำคัญของ "อินทรา" เทพนักต่อสู้ ตัวแทนความกล้าหาญ
ชาวอารยันพวกเดิมบางคน โดยเฉพาะชนชั้นนักบวช เชื่อว่าโลกเราก็เหมือนภพที่เทพอยู่ ถ้าภพนั้นเกิดเหตุการณ์อะไร บนโลกก็จะเป็นบบนั้น
พวกเค้าให้เหตุผลกับเหตุการณ๋ที่เกิดขึ้นว่าสงสัยบนภพนั้น เทพสำคัญองค์อื่นๆเช่น Veruna Mithre และ Mazda ต้องกำลังโดนเทพ Indra กลั่นแกล้งแน่ๆ
1.4 ศาสดาพยากรณ์
จนปี 1200 มีนักบวชอายุ 30 ปี ที่เชื่อเช่นนั้นท่านหนึ่งออกมาประกาศว่า ท่านเทพ Mazda ได้มาดลใจ ให้ท่านช่วยนำความสงบกลับคินมาสู่ท้องทุ่งแห่งนี้ "เรา ในนามของผู้ส่งสารจากพระเจ้ามาซด้า เรามีทางออกให้ท่าน"
ที่มา: The Great Transformation: The Beginning of Our Religious Traditions
----------------------------------------------------------------------------
โซโรอัสเตอร์ เป็นศาสดาองค์แรกๆ ท่านมีศาสนาของท่านเองเรียกว่า ศาสนา Zoroastrianism (อันเป็นศาสนาที่รุ่งเรืองในอิหร่านก่อนที่จะอิสลามจะรุ่งเรือง) คำสอนของโซโรอัสเตอร์นี้เองที่เป็นจุดกำเนิดของทั้งศาสนายูดาห์ ยิว คริสต์ อิสลาม
-----------------------------------------------------------------------
ชอบใจและขอบคุณมากครับ
สำหรับย่อความรู้ในประวัติศาสตร์เช่นนี้
อาจารย์ก็สนใจในเรื่องของชาวอารยัน เพราะเป็นต้นเค้าบรรพบุรุษของพุทธศาสนา(บรรพบุรุษพระพุทธเจ้า) ขอตอนต่อไปด้วยนะครับ
โซโรอัสเตอร์ ก็เป็นศาสนาเก่าแก่ของโลกที่น่าสนใจ
ตอนอาจารย์ไปประชุมศาสนาสัมพันธิ์ที่กรุงวาติกันเมื่อปี 2000ก็ยังพบตัวแทนศาสนานี้มาแสดงปฐากถา
ขอบคุณหนูมัทมาก เชียร์ให้เขียนต่อครับ
สวัสดีค่ะอ.พิชัย
พี่ณัชรเคยเล่าให้ฟังเหมือนกันว่าอ.ไปวาติกันมา มัทสนใจมากค่ะ อยากฟังว่าเค้าคุยอะไรกันมั่ง
มัทได้มีโอกาสไปร่วม round table ที่ทางมหาวิทยาลัย UBC กับ SFU จัดร่วมกันเมื่อสามปีก่อน ผู้ที่มาร่วมพูดคุยคือ
แค่ 5 ท่านนี้มันก็ชอบอกชอบใจ ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆมากมาย
มัทนึกภาพไม่ออกเลยว่างานประชุมที่ ี่อ.ได้ไปเข้าร่วมที่วาติกันจะขนาดไหน ต้องน่าสนใจมากๆแน่ๆ ว่างๆอ.เล่าให้ฟังบ้างนะคะ
มีตัวแทนจาก โซโรอัสเตอร์ มาด้วย! แค่นี้ก็ทำให้ตามัทลุกวาวแล้วค่ะ : )
ความเห็นของอ.มีค่ามากๆค่ะ ขอบคุณที่เป็นกำลังใจให้เขียนต่อ
นะคะ จะรวบรวมพลังเขียนต่อค่ะ วันนี้อ่านไปได้อีกบทแล้ว สนุกมากค่ะ
สวัสดีค่ะคุณมัท
ตามอ่านเพราะชอบมากค่ะ..ชนเผ่าอารยันทราบว่าเป็นบรรพบุรุษของพระพุทธเจ้า ( ใช่หรือเปล่าคะ ? )
ลัทธิการยกย่องวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของสรรพสิ่ง.. เบิร์ดมองว่าเป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์รู้จักนับถือธรรมชาติ และเกิดความนับถือซึ่งกันและกัน..ความสงบสุขก็เกิดได้ง่ายนิดเดียวเองนะคะ..ทึ่งกว่านั้นคือโซโรอัสเตอร์ยังมีอยู่ในปัจจุบัน !
ขอบคุณมากค่ะสำหรับเรื่องดีๆ..จะตามอ่านต่อไปค่ะ
สวัสดีค่ะ อ. มัทนา
มาลงทะเบียนให้กำลังใจอีกคนค่ะ ประวัติศาสตร์เป็นสิ่งที่น่าสนใจมากค่ะ สมัยก่อนเรียนประวัติศาสตร์แล้วรู้สึกโบราณ แต่ตอนนี้ทัศนคติเปลี่ยนไปค่ะ เพราะเราเรียนรู้จากประวัติศาสตร์ได้มากมาย ประมาณว่า history repeats itselfs น่ะค่ะ
จะรออ่านนะคะ
พอมีคนเยอะๆ มันก็ยุ่งๆแบบนี้ทุกทีนะครับ...โลกเราก็ใบเล็กๆเท่าเดิม..คนมากขึ้น ทรัพยากรน้อยลงทำให้เกิดการแก่งแย่ง และสงคราม...
:-(
โอชกร
สวัสดีครับ
ขอบคุณมากๆค่ะทุกๆท่านที่เข้ามาติดตาม
จะเขียนต่อแน่นอนค่ะ แต่งานค่อนข้างมาก จะเปลี่ยนเป็นแนวเป็นสรุปย่อความมาแทน คงไม่ละเอียดเท่าบันทึกนี้
คุณเบิร์ด: มัทตาลุกวาวจริงๆค่ะตอนที่อ.พิชัยเล่าว่า เจอตัวแทนศาสนาซโรอัสเตอร์ : ) gotoknow นี่เต็มไปด้วยความรู้จริงๆค่ะ มัทอ่านเรื่องประวัติศาสตร์ศาสนาแล้วรู้สึกว่า รูปแบบของหลักความคิดด้านจิตวิญญาณคนเรา ก็วนไปวนมากจริงๆ ตอนนี้ก็มีคนพยายามให้พวกเรารู้สึกถึง "ความศักดิ์สิทธิ์ของสรรพสิ่ง"ขึ้นมาอีกครั้ง น่าสนใจดีนะคะ
อ. กมลวัลย์: history repeats itself จริงๆค่ะ มัทเพิ่งจะมาเห็น pattern ของมันชัดๆก็จากหนังสือเล่มนี้
อ โจ: นั่นหน่ะสิค่ะ เราคงต้องมามองให้เห็นว่ามันก็โลกเดียวกันเนอะค่ะ จะได้ไมแย่งกัน แบ่งๆกันช่วยๆกันมั่ง
หมอพัท: ใช่แล้วค่ะชาวอารยันกลุ่มที่ใช้ภาษาสันสกฤต เป็นเชื้อสายเดียวกับพระพุทธเจ้า เป็นพวกที่ย้ายไปอยู่ทางลุ่มแม่น้ำสินธุ ส่วนกลุ่มอเวสถานก็ย้ายไปอยู่อิหร่าน
ตอนต่อไปจะเขียนถึงการย้ายถิ่นฐานของชาวอารยัน และที่มาที่ไปของศาสนาในทั้ง 2 แคว้นค่ะ
ไอ้้เรามันก็บรรพบุรุษเดียวกันแท้ๆ
ปล. ฮิตเลอร์ก็อ้างว่าเค้าเป็นอารยันที่ย้ายไปเยอรมันค่ะ เคยอ่านเรื่องนี้ที่ คุณจิก ประภาส เขียนไว้เรื่องที่มาเครื่องหมายสวัสดิกะของนาซี กับ รูปสัญลักษณ์เดียวกันในเอเชีย น่าสนใจมาก ถ้าหาฉบับ onine ได้จะนำมาฝากค่ะ
ขอตามมาอ่านด้วยคนนะครับ พี่มัท
หนังสือเล่มนี้น่าสนใจมากครับ
ประวัติศาสตร์สอนเราเสมอ
มนุษย์เราพัฒนามามากซะจนน่าทึ่ง
ขอบคุณศาสดาทั้งหลายที่ทำให้มีศาสนา
มาสร้างสมดุลให้กับโลกทุนนิยมไว้ได้บ้าง
ยินดีมากค่ะ nott
พี่เขียนไว้ 6 ตอนแล้วหมดแรง เพราะบทหลังๆแปลยากจัง ไว้จะฮีดใหม่เร็วๆนี้ค่ะ