เนื่องจากมีคนสนใจเรื่องการจัดการความรู้ ที่ดำเนินการแก่ชุมชนในท้องถิ่น ผมจึงนำเรื่องโครงการ สถาบันจัดการความรู้ท้องถิ่น ที่ดำเนินการโดยคุณทรงพล เจตนาวณิชย์ มาให้ได้ทราบกัน อบต. ที่สนใจเข้าร่วมโครงการติดต่อที่คุณทรงพล โดยตรงนะครับ โทรศัพท์ 01 874 4054 หรือ e-mail : [email protected]
การทำงานโครงการเสริมสร้างการเรียนรู้เพื่อชุมชนเป็นสุข (สรส.) ระยะที่ 1 ที่ดำเนินการในภาคกลาง (5 จังหวัด) ได้พัฒนา ‘นักจัดการความรู้ท้องถิ่น’ (นจท.) ขึ้นมาเป็นกลไกสำคัญในการจัดกระบวนการเรียนรู้เพื่อนำไปสู่การสร้างสรรค์ชุมชนเป็นสุขทำหน้าที่เชื่อมโยงและจัดการความรู้เพื่อชุมชน ซึ่งจำเป็นจะต้องทำงานร่วมกับองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ในฐานะเป็นรัฐบาลท้องถิ่น ขณะเดียวกันชุมชนเองจำเป็นต้องมีการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง เพื่อการปรับตัวภายใต้กระแสความเปลี่ยนแปลงของสังคม ซึ่งถ้าเป็นอย่างนี้คาดว่าภายใน 2 ปี สมาชิกของ อบต. ที่เข้าร่วมจะได้เรียนรู้ 1) การวิเคราะห์ชุมชนอย่างมีส่วนร่วม 2) การเข้าใจธรรมชาติการเรียนรู้และเครื่องมือส่งเสริมการเรียนรู้ 3) พลังกลุ่ม 4) การออกแบบการเรียนรู้ 5) การจัดการเรียนรู้สู่ดุลยภาพ 6) การบูรณาการ 7) การจัดการความรู้ 8) การจัดองค์กรและเครือข่าย 9) การประชุมอย่างมีส่วนร่วม สำหรับแนวทางการดำเนินงานแบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอน คือ 1) รวบรวมรายชื่ออบต. และผู้ประสานงาน 2) ประชุมพัฒนาหลักสูตร 3) กำหนดแผนการจัดกระบวนการเรียนรู้ 4) ลงมือปฎิบัติ จากนั้นจึงทำให้เกิดโครงการสรส.ในระยะที่ 2 โดยใช้หลัก “การเรียนรู้ของชุมชน โดยชุมชน เพื่อชุมชน” เพื่อแก้ปัญหาทุกข์ของชาวบ้าน ตัวอย่างเช่น โรงเรียนชาวนาที่เกิดรูปธรรมของความสำเร็จในหลายๆ ที่ เพราะจัดการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตชาวนา แต่ชุมชนยังต้องการโรงเรียนพ่อ-แม่ โรงเรียนผู้นำ โรงเรียนสุขภาพ และอื่นๆ ซึ่งเห็นว่าหน่วยงานที่มีความเป็นไปได้ในการทำงานร่วมกัน คือ 1) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 2) สหกรณ์ โดย นจท. เดิม และที่คาดว่าจะสร้างขึ้นมาใหม่นั้นจะต้องทำงานเสมือนเป็นผู้อำนวยการเรียนรู้ สามารถเชื่อมโยงชุมชนกับหน่วยงานภายนอกได้ ซึ่งเครื่องมือด้านการจัดการความรู้ชุดธารปัญญาจะเป็นวิธีหนึ่งที่จะทำให้เรียนรู้ส่วนนี้ได้ และจะดียิ่งขึ้นไปอีกหากสามารถผลักดันให้เกิดเป็นสถาบันการจัดการความรู้ของชุมชนท้องถิ่น เพราะจะทำให้กิจกรรมแต่ละส่วนสอดคล้องและต่อเนื่องกัน
จากการประชุมแนวทางในการพัฒนาสถาบันการจัดการความรู้ของชุมชน ที่ผ่านมา ทางสรส. อบต. ที่สนใจเข้าร่วมโครงการความร่วมมือเพื่อพัฒนาสถาบันการจัดการความรู้ท้องถิ่น โดยได้รับความร่วมมือจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 17 แห่ง จากการประชุมได้นำเนื้อหาความเข้าใจเกี่ยวกับการพัฒนาสถาบันจัดการความรู้ท้องถิ่น แบ่งได้เป็น 7 หัวข้อหลัก คือ 1) เสริมศักยภาพตนเองขององค์การบริหารส่วนท้องถิ่น 2) การจัดการแบบแยกส่วนของหน่วยงานต่างๆที่เข้ามาในชุมชน 3) องค์กรปกครองท้องถิ่นจะเข้มแข็งไม่ได้หากไม่มีหน่วยจัดการความรู้ 4) ลักษณะคนรุ่นใหม่ที่จะจัดการความรู้ในท้องถิ่น 5) ลักษณะของการจัดการความรู้ของท้องถิ่น 6) นักจัดการความรู้ท้องถิ่น (นจท.) ตัวช่วยที่โครงการฯได้สร้างขึ้น 7) ตัวอย่างการทำงานของสถาบันจัดการความรู้ท้องถิ่น ยังมีตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นความมุ่งมั่นและศักยภาพของอบต. ที่เข้าร่วมประชุมแบ่งเป็น 4 ข้อ คือ 1) อบต. เป็นความหวังของจุดเริ่มต้นการเรียนรู้เล็ก ๆ 2) เริ่มมีการพัฒนาท้องถิ่นโดยใช้การจัดการความรู้ท้องถิ่น 3) การรวมกลุ่มกันจนเกิดสภาหมู่บ้าน 4) ตัวอย่างดี ๆ ที่เดินหน้าไปให้เห็นก่อน และยังมีแนวทางและแผนการดำเนินงาน ซึ่งมีทั้งหมด 8 ข้อ คือ 1) คัดเลือกแกนนำ 2) ออกแบบหลักสูตร 3) การคัดเลือกแกนนำและบทบาทหน้าที่แกนนำ 4) ความสามารถหลักของนจท. และแกนนำที่คาดหวัง 5) จุดยืนของนักจัดการความรู้ท้องถิ่นในชุมชน 6) การประเมินผล 7) สรุปความคาดหวังของโครงการ
การเข้าร่วมโครงการนี้สิ่งที่คำนึงถึงด้านโครงสร้างโดยไม่ติดอยู่ด้านวาระของการบริหาร แต่เป็นโครงสร้างที่มีความร่วมมือของส่วนต่างๆ เช่น สถาบันการศึกษา ส่วนหนึ่ง อบต. ต้องไปสร้างความร่วมมือของหน่วยงานทั้งหลาย เมื่อนจท. และแกนนำเข้ามา ก็สามารถจัดการเชื่อมร้อยระบบได้อย่างบูรณาการ ซึ่งขณะนี้บุคลากรของหน่วยงานต่างๆ เข้ามาโดยตอบสนองนโยบายของหน่วยงานตัวเอง ทำอย่างไรเราจะให้เขาตอบสนองต่อนโยบายของอบต. ด้วย ซึ่งคิดว่าระยะเวลา 2 ปีนั้นที่โครงการเป็นคนสนับสนุน การมองเรื่องการเตรียมคนของอบต. โดยเฉพาะเกี่ยวโยงกับฝ่ายการศึกษาของอบต. ซึ่งยาวพอที่เราจะสร้างให้เห็นรูปธรรม และเป็นเวลาที่พิสูจน์ให้ทางเขาเห็นความสำคัญ ประโยชน์ และคุณค่า ว่ามันเป็นสิ่งดี มีการประเมินผล มีตัวชี้วัด เขาน่าจะเริ่มเล็งเห็นว่า การมีหน่วยจัดการความรู้เป็นสิ่งที่ดีในชุมชน ที่จะเป็นหน่วยงานคอยประสานและเชื่อมโยงทั้งสิ่งที่มีอยู่ในชุมชนและสิ่งที่เข้ามาในชุมชน เมื่อถึงจุดหนึ่งโครงการก็พร้อมที่จะเอาไปเสนอต่อหน่วยนโยบายในระดับบน เนื่องจากการที่จะรอให้เจ้าหน้าที่รัฐคิดออกนอกกรอบนั้นยากมาก แต่หลัง 2 ปี อบต.ต้องช่วยพิจารณานักจัดการความรู้ท้องถิ่นด้วย สิ่งที่เราจะทำมันจะกระเทือนอบต.ทั่วประเทศ
นอกจากนี้การที่อบต.ไม่มีเครื่องมือ วิธีการ ไปนำเสนอให้แก่พวกเขา เขาก็จำวิธีเก่า ๆ มาใช้กับสมาชิกอบต. ซึ่งจริงๆ เราสามารถทำงานให้ชาวบ้านได้หลายเรื่องมาก แต่มักเข้าไม่ถูก ต้องมีคนไปแนะแนวทางให้ เนื่องจากโครงการก่อสร้างทำได้ง่ายสุดจึงไปมุ่งเน้นตรงนั้น บางคนอาจอยากทำอย่างอื่นแต่ไม่มีรูปแบบที่จะทำกับชาวบ้าน ถ้าหากอบต. ออกไปจัดกิจกรรมกับชาวบ้านในชุมชนบ่อยๆ ให้รู้สึกว่าการมีหน่วยจัดการความรู้อย่างนี้เป็นสิ่งที่ดีอยู่ในหมู่บ้าน ก็น่าจะสร้างความนิยมกับชาวบ้านได้ง่าย แต่มักจะมีวิธีคิดในเรื่องรูปแบบการสร้างความนิยมกับชาวบ้านแบบเก่า อย่างตัวเด็ก ๆ เวลาเขาเรียนรู้ ถ้าแบบเดี่ยวๆเขาจะไม่สนุก ต้องเรียนรู้แบบเป็นกลุ่ม มีเพื่อนทำเหมือนๆกัน นั่นคือ พลังกลุ่ม คอยประคับประคอง เป็นกำลังใจให้แก่กันดีกว่าการทำเดี่ยวๆ ซึ่งอาจก่อให้การดำเนินต่อไปไม่ได้ผลได้
สถาบันนี้จึงต้องอำนวยสภาพแวดล้อมให้เขาเกิดการเรียนรู้ที่ดี ซึ่งต้องอาศัยการจัดการ ทุนก็มีอยู่มากมายในชุมชนอยู่แล้ว สิ่งดีๆ อยู่ตรงไหน จะเชื่อมต่อกันอย่างไร เชื่อมด้วยอะไร ใครจะมาช่วยเชื่อม (เราจะสร้างช่างเชื่อมนั่นเอง) ต้องปักธงคือตรึงคนรุ่นใหม่อยู่ในชุมชนให้ได้ อยู่บนฐานเศรษฐกิจอย่างมีศักดิ์ศรีมีคุณค่า การศึกษาไม่ใช่เส้นทางเดียวของการมีศักดิ์ศรีมีคุณค่า แต่สามารถสร้างจากการเรียนรู้บนชีวิตจริงของตัวเราเองได้ ตัวสถาบันต้องดึงผู้หลักผู้ใหญ่มาคอยให้กำลังใจ ให้คุณค่าของเขา ประเด็นอยู่ที่กลุ่มการเรียนรู้ ดูว่าเงื่อนไขแห่งความสำเร็จมีอะไรบ้าง เราต้องคิดให้ทะลุ คิดไปล่วงหน้าไห้ได้ เตรียมการล่วงหน้าให้ได้ บทบาทหรือกลไกเหล่านี้จะทำหน้าที่อย่างไรได้บ้าง จึงฝากสื่อสารถึงนายกองค์การบริหารส่วนตำบลต่าง ๆ ด้วยว่าหากสนใจเรื่องอะไร โครงการฯจะจัดกลุ่มแล้วร่วมฝึกอบรมด้วยกัน ไม่ว่าจะเรื่องโรงเรียนเด็ก โรงเรียนเกษตรกรหรือโรงเรียนผู้นำ
ดังนั้นจึงเล็งเห็นว่า อบต. จำเป็นต้องเตรียมคน ภายใต้สภาวะปัจจุบันที่อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ อันมีผลต่อความคาดหวังของสังคมที่มีต่อบทบาทของอบต.
ทรงพล เจตนาวณิชย์
ผู้อำนวยการโครงการเสริมสร้างการเรียนรู้เพื่อชุมชนเป็นสุข (สรส.)
สืบเนื่องจาก การประชุมความร่วมมือเพื่อพัฒนาสถาบันการจัดการความรู้ท้องถิ่น วันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๔๘ ได้รับความ ๑๗ แห่ง และได้มีการแนะนำ ทำความเข้าใจแนวคิด แนวทางการทำงานของโครงการเสริมสร้างการเรียนรู้เพื่อชุมชนเป็นสุข (สรส.) โดยมีองค์การบริหารส่วนตำบลที่สนใจเข้าร่วมโครงการ และได้เสนอชื่อผู้ประสานงานไว้นั้น
ทางโครงการ สรส. ดังกล่าว ประชุมทำความเข้าใจแผนการดำเนินงานในรายละเอียดเพิ่มเติม โดยมีสาระจากการประชุมดังนี้
๑. จากการที่โครงการ สรส. เป็นตัวกลางเชื่อมร้อยการทำงานเพื่อให้ อบต.ซึ่งเปรียบเสมือนรัฐบาลท้องถิ่นได้ใช้การจัดการความรู้เป็นฐานสำคัญในการพัฒนาเสริมสร้างศักยภาพการทำงานพัฒนาท้องถิ่นของตนเอง ตามที่แต่ละท่านได้สะท้อนวัตถุประสงค์ของการเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของอบต. เช่น
- ต้องการทราบปัญหา และมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาของชาวบ้าน
- ต้องการใช้ความสามารถ/ความคิดที่มีสร้างสรรค์สังคมให้เจริญรุ่งเรือง
- ต้องการให้หมู่บ้านที่ตนอยู่เจริญก้าวหน้าพัฒนาไปในทางที่ดี
- ต้องการเร่งแก้ปัญหา ประคับประคองชุมชน
- ต้องการใช้สิทธิบริหารท้องถิ่นของตัวเองที่รัฐกระจายอำนาจมาให้
- ต้องการใช้ความเดือดร้อนของประชาชน มาช่วยแก้ปัญหา
- ต้องการเห็นการมีส่วนร่วมของประชาชนมาช่วยกันแก้ปัญหา
- ต้องการเป็นตัวแทนของประชาชนและกับราชการ รับฟังปัญหาชาวบ้าน นำความรู้มาให้
จะเห็นได้ว่าการเข้ามาทำงานในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของอบต.ของทุกท่านก็เพื่อทำตัวเองให้มีคุณค่ามีประโยชน์ในการพัฒนาท้องถิ่นของตัวเอง มากกว่าเพื่อประโยชน์ในแง่ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ วิสัยทัศน์ และเป้าหมายที่จะดำเนินการไปด้วยกัน เราจะร่วมมือ/เกื้อหนุนกันอย่างไร ซึ่งจะได้ขยายความเพิ่มขึ้น และคาดหวังให้ท่านที่เข้าร่วมประชุมกลับไปสื่อสารกับอบต.ให้เข้าใจมากขึ้นต่อเนื่องจากการประชุมครั้งที่แล้ว
๒. การจัดการแบบแยกส่วนของหน่วยงานต่างๆที่เข้ามาในชุมชน ขณะนี้รัฐบาลมีนโยบายแก้ไขปัญหาความยากจน แต่งบประมาณอย่างเดียวไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ชาวบ้านยังคงตกอยู่ในวัฏจักรความยากจนมาตลอด เห็นได้ชัดทั้งเรื่องสุขภาพกายและสุขภาพจิต จากเวทีตำบลที่โครงการฯจัดขึ้นได้วิเคราะห์พบว่า มีหน่วยงานมากมายที่เข้ามาช่วย เช่น ราชการ สถาบันการศึกษา สถาบันการเงิน สหกรณ์ ธุรกิจ สถาบันศาสนา หรือแม้แต่อบต.เอง แต่ทั้งหมดล้วนมีการจัดการปัญหาแบบแยกส่วน ชาวบ้านยังมีปัญหา ต่างคนต่างอยู่ ตัวใครตัวมัน ไม่สามารถจัดการตนเองได้ อบต.ในฐานะเป็นรัฐบาลท้องถิ่น มองอย่างไร จะช่วยแก้ปัญหาอย่างไร
สภาพความยากจนของชาวบ้าน คือการที่รายได้น้อยกว่ารายจ่ายทำให้เกิดหนี้สิน สุขภาพกายและจิตอ่อนแอ ทั้งนี้มีสาเหตุมาจากขาดโอกาสในการเข้าถึงและใช้ประโยชน์ อันได้แก่
๑) ขาดข้อมูลข่าวสาร ไม่รู้เท่าทัน
๒) ขาดตลาด ไม่ทราบว่าตลาดอยู่ไหน จะขายใคร
๓) ขาดการรื้อฟื้นภูมิปัญญาท้องถิ่น เข้าไม่ถึงแหล่งเทคโนโลยี ถึงแม้อยู่ใกล้ตัว
๔) ขาดทุนคือตัวเงินในการทำมากิน
๕) ขาดปัจจัยการผลิต เช่น พันธุ์พืช ปุ๋ย อุปกรณ์
๖) ขาดฐานทรัพยากรในการประกอบอาชีพ เช่น แหล่งน้ำ ที่ดินทำกิน
นักจัดการความรู้ท้องถิ่นของโครงการฯ (นจท.) ได้ไปสำรวจและวิเคราะห์ทุนพบว่า ความรู้ภายในชุมชนมีอยู่มาก มีเงินลงมาในชุมชนจำนวนมหาศาล แต่เป็นที่น่าเสียใจที่โครงการต่างๆไม่เป็นผล ทั้งนี้เพราะ “ขาดการจัดการ” เป็นสำคัญ จึงต้องเสริมสร้างกลไกการจัดการเรียนรู้ของชุมชนให้มีความเข้มแข็ง
ทำอย่างไรให้ในท้องถิ่นมีคนทำงาน มีกลไกที่สามารถบริหารจัดการเป็น นักจัดการจะต้องเป็นคนในท้องถิ่นจึงจะก่อให้เกิดความเข้มแข็ง องค์การส่วนท้องถิ่นและชุมชนจะเข้มแข็งได้อย่างไรในเมื่อหนุ่มสาวมุ่งเข้าในเมืองหมด ในตำบลมีคนแก่กับเด็ก อบต.ต้องมองระยะยาวถึงจุดที่จะสร้างความเข้มแข็งของท้องถิ่นได้คือ “ต้องสร้างคน”
๓. องค์กรปกครองท้องถิ่นจะเข้มแข็งไม่ได้หากไม่มีหน่วยจัดการความรู้ หากมองชุมชนเป็นประเทศ มีเงินอยู่ในชุมชน องค์กรปกครองมีฝ่ายการจัดการเรียนรู้หรือฝ่ายการศึกษาที่จะช่วยชุมชนได้ ความยากจนจะแก้ไขไม่ได้ อบต.จะเข้มแข็งไม่ได้ ถ้าชุมชนไม่มีหน่วยการจัดการความรู้ แนวทางเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อแก้ปัญหาความยากจนซึ่งเน้นลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ จะเกิดขึ้นได้ ชาวบ้านต้องการการเรียนรู้ และปรับตัว ต้องการกระบวนการ ต้องการความช้า ต้องคอยตั้งคำถาม พาไปเรียนรู้ นำมาทดลองปฏิบัติจริง เพราะธรรมชาติการเรียนรู้ของชาวบ้านเกิดจากการลงมือทำ อบต.ต้องทำให้ชาวบ้านสามารถทำในสิ่งเหล่านี้ได้
๔. ลักษณะคนรุ่นใหม่ที่จะจัดการความรู้ในท้องถิ่น หากพิจารณาจากปรากฏการณ์จริงในปัจจุบัน เห็นความจริงอยู่ ๒ ด้านคือ ด้านหนึ่งคนรุ่นใหม่ที่เข้าไปในชุมชนผ่านระบบการศึกษาที่เน้นเรียน อ่าน ท่อง ไม่ได้ลงมือ เจ้าหน้าภาครัฐที่เข้าไปส่งเสริมเรื่องต่างๆก็ไม่ได้รู้จริง เพราะไม่ได้ทำมาก่อน ชาวบ้านก็ไม่ค่อยเชื่อ อีกด้านหนึ่งชาวบ้านอยู่ในระบบการปกครองมานาน เขาจึงคิดว่าเมื่อมีปัญหาอะไร รัฐก็มีหน่วยงาน
เข้ามาจัดการ เขาจึงไม่คิดเอง รออย่างเดียว สำนึกการพึ่งตนเองหายไป รู้ไม่เท่าทัน
การที่เราจะพาชาวบ้านเรียนรู้อย่างเท่าทันและพอเพียงเป็นเรื่องที่จำเป็นมาก ความพอเพียงของคนไม่เท่ากัน เด็กในชุมชนเห็นมีรถก็อยากได้ เห็นเพื่อนมีโทรศัพท์ก็อยากได้ ถ้าพ่อแม่ไม่ให้ก็หนีออกจากบ้าน ประชดตัวเอง สะท้อนให้เห็นถึงการเรียนรู้ทั้งทางโลกและทางธรรมต้องมีความสมดุลไปพร้อมกัน ระบบการศึกษาให้สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ เราต้องลุกขึ้นมาทำการศึกษาให้ชุมชน เพื่อสร้างกลไกการจัดการความรู้ของชุมชนให้เข้มแข็ง ซึ่งโครงการฯถือว่าเป็นความสำคัญ ดังนั้น การคัดเลือกคนทำงานจึงต้องมีลักษณะสำคัญ ๓ ประการคือ
(๑) มีใจ (ใจต้องมาก่อน)
(๒) มีธรรมมะ
(๓) ลงมือทำจริง
๕. ลักษณะของการจัดการความรู้ของท้องถิ่น จากเวทีตำบลในพื้นที่ โครงการฯได้ประสานให้ทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วม ทั้งเด็กเยาวชน พ่อแม่ พระสงฆ์ ผู้เฒ่าผู้แก่ มาพูดถึงปัญหาของชุมชน เช่น ความรุนแรงของสื่อที่เข้ามาโดยตรง พ่อแม่ไม่ทันลูกซึ่งเป็นเด็กรุ่นใหม่ที่ความอดทน/ความแกร่งหายไป มีความสำคัญที่พ่อแม่ต้องรู้จิตวิทยาการเลี้ยงลูก แต่พ่อแม่จะเข้าใจในสิ่งเหล่านี้อย่างไร หากชุมชนไม่เห็นความเชื่อมโยงของปัญหา ไม่เห็นรากเหง้าที่แท้จริง ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะชุมชนไม่มีการเรียนรู้ของตนเอง ปล่อยให้เป็นเรื่องของโรงเรียน ต่างจากสมัยก่อน ทั้งที่ปัจจุบันพระราชบัญญัติการศึกษาชาติ เปิดโอกาสออกมาแล้วว่า ชุมชนสามารถสร้างการศึกษาและการเรียนรู้เองได้
(๑) รู้จักตัวเอง โดยการทำบัญชีครัวเรือน บัญชีชุมชน บัญชีชีวิต ไม่ใช่ต่างคนต่างอยู่ ไม่มีกัลยาณมิตร ไม่มีเพื่อนแท้คอยเตือน
(๒) รู้จักชุมชน เรียนรู้และทำความเข้าใจทุนในชุมชนซึ่งมีอยู่มากมาย เช่น กองทุนหมู่บ้าน อาชีพ สุขภาพ วัฒนธรรมประเพณี ฯลฯ ซึ่งต้องมีการจัดการ มีแต่เงินอย่างเดียวแต่ความรู้ไม่ไหลมาก็ไม่มีประโยชน์
ปัจจัยสำคัญของชุมชนคือผู้นำ ผู้นำควรมีใจให้ชุมชน มีความรู้ มีทักษะเพื่อสร้างการมีส่วนร่วมของชาวบ้าน มีคำถามที่น่าสนใจว่า สมาชิกอบต.ในฐานะผู้นำท้องถิ่น จะ ๑) สามารถเข้าไปสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนได้หรือไม่ และ ๒) รู้เท่ารู้ทันสิ่งที่เข้ามาในชุมชนหรือไม่ แนวคิดของโครงการฯ เชื่อว่าส่วนมากทุกท่านเข้ามาสู่ตำแหน่งหน้าที่ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ก็เพื่อประโยชน์ของชุมชนอย่างแท้จริง การจะทำเช่นนั้นได้ต้องสามารถสร้างคนรุ่นใหม่เข้ามา สามารถตรึงลูกหลานให้อยู่ในชุมชนให้ได้ มิฉะนั้นองค์กรปกครองท้องถิ่นเองจะไม่มีกำลังทำงานชุมชน โดย “แผนแม่บทชุมชน” จะเป็นเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยชุมชนได้
(๓) รู้จักโลก รู้ทันการเปลี่ยนแปลงจากภายนอก รู้ทันกระกระแสโลกาภิวัตน์ที่เข้ามาสู่ชุมชน
๖. นักจัดการความรู้ท้องถิ่น (นจท.) ตัวช่วยที่โครงการฯได้สร้างขึ้น โครงการให้ความสำคัญต่อการสร้าง นจท. ระยะแรกที่ผ่านมาเน้นให้เขารู้จักตัวเอง พัฒนาฐานคิด ความรู้ และทักษะที่จำเป็น ระยะที่ ๒ เน้นให้นจท.มีบทบาทในการพัฒนาของอบต. โดยสร้างรูปธรรมของการจัดการความรู้ของชุมชน ซึ่งประกอบ ด้วย
(๑)วิเคราะห์ชุมชนอย่างมีส่วนร่วม
(๒)เรียนรู้ธรรมชาติการเรียนรู้ของชาวบ้าน ว่าชาวบ้านเรียนรู้แบบไหน เราต้องมีเครื่องมือและกิจกรรมต่าง ๆ ให้เด็กหรือชาวบ้านเรียนรู้อย่างสนุกได้อย่างไร
(๓)สร้างกลุ่ม และใช้พลังของกลุ่ม
(๔)ออกแบบการเรียนรู้สู่ดุลยภาพทั้งทางกาย ใจ ปัญญา ชุมชน และสังคม อย่างบูรณาการ
(๕)สร้างเครือข่ายการเรียนรู้
(๖)มีการจัดการองค์กรและเครือข่าย
(๗)ใช้การประชุมอย่างมีส่วนร่วม
นจท.ที่สร้างขึ้นนี้ แม้จะยังไม่เก่งเพราะแค่เป็นการเริ่มต้น แต่กำลังพัฒนาไปสู่ชั่วโมงบินที่เพิ่มขึ้น จะเป็นกำลังหลักของการจัดการความรู้ท้องถิ่น หรือจะเรียกว่า “โรงเรียนหรือวิทยาลัยชาวบ้าน” เป็นสถาบันที่มีความยั่งยืน มีคนทำงาน มีทีมงาน ชุมชนจึงจะเป็นสุขอย่างแท้จริง ความเป็นสถาบันดังกล่าวไม่ใช่อาคาร แต่เป็นความต่อเนื่อง มีความร่วมมือเชื่อมโยงถึงกันระหว่างหน่วยงานต่างๆ เช่น การศึกษานอกโรงเรียน (กศน.) สถาบันเทคโนโลยีต่างๆ ซึ่งควรจะเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชน ตลอดถึงมีการบันทึก สะสมความรู้อย่างเป็นระบบ
หากองค์กรปกครองท้องถิ่นเห็นว่าสถานภาพคอขวดที่กล่าวมาเป็นความจริง และเห็นด้วยในการทำงานโดยมีนจท.เป็นผู้ประสานงาน ซึ่งสามารถเป็นผู้ช่วยที่ไม่ใช่เพียงแต่ทำในพื้นที่ แต่จะทำในระดับเครือข่าย อย่างเช่นภาคกลางของเรามี ๕ จังหวัด ภายในระยะเวลา ๓ เดือนเราจะมาเรียนรู้ร่วมกัน เป็นเครือข่ายการเรียนรู้ โครงการฯจะมีเครื่องมือให้ ขณะเดียวกันจะเป็นผู้เชื่อมวิทยากรจากภายนอกให้เข้ามาให้ความรู้ด้วย
๗. ตัวอย่างการทำงานของสถาบันจัดการความรู้ท้องถิ่น จะเน้นสร้างการเรียนรู้เรื่องใหญ่ ๆ เช่น สุขภาวะ ผู้นำชุมชน อาชีพ การสื่อสาร วัฒนธรรม กองทุน ครอบครัว เพื่อนำไปสู่ความเป็นสุขของชุมชน โดยเกาะเกี่ยวสถาบันการศึกษาเข้ามาเชื่อมโยง ดึงห้องเรียนมาอยู่ในชุมชน การจัดการเรียนการสอนติดอยู่พื้นที่ มีการให้ปริญญาบัตรได้ด้วย นักเรียนก็จะอยู่ในชุมชน ได้เรียนรู้ชุมชนของจริง
ตัวอย่างหน่วยงานที่สามารถเชื่อมโยงได้ เช่น โครงการวิจัยที่สนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับ- สนุนการวิจัย (สกว.) ที่ปฏิบัติงานให้เกิดผลได้มาก (เช่น เรื่องหอกระจายข่าวในหมู่บ้าน) แต่ยังขาดคนที่จะเชื่อมลงมาสู่พื้นที่ สถาบันสิรินธร ทำวิจัยเรื่องเกี่ยวกับคนพิการ ก็ยินดีจะถ่ายทอดและปฏิบัติการในพื้นที่
มีตัวอย่างชุมชนที่จัดการตัวเองได้ทำให้เห็นเป็นตัวอย่างแล้ว คือชุมชนไม้เรียง จ.นครศรีธรรมราช ที่เชื่อมโยงมหาวิทยาลัยรามคำแหงซึ่งมีการพัฒนาหลักสูตรผู้นำท้องถิ่น เรียนในพื้นที่ สามารถเทียบโอนประสบการณ์ได้ด้วย หรือการให้ลูกหลานเกษตรกร ทำการเกษตรในพื้นที่ ๓ ไร่ให้อยู่ได้ พิสูจน์ตัวเองบนฐานการเกษตรได้ภายใน ๓ ปี หรือการเชื่อมโยงกับสถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สวทช.) ให้บัณฑิตคืนถิ่นทำเรียนรู้วิสาหกิจชุมชนโดยได้รับประกาศนียบัตร เป็นต้น
หากบุคลากรในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีความหวัง ความปรารถนาที่ต้องการพัฒนาท้องถิ่นโครงการฯจะเป็นตัวเชื่อมร้อยชุมชนกับสถาบันภายนอก โดยใช้ใช้ นจท.และแกนนำซึ่งเป็นคนในท้องถิ่น ปลุกระดมรักท้องถิ่นง่ายกว่าคนนอกชุมชน แต่เราควรให้จุดยืนแก่เขาซึ่งอบต.น่าจะเป็นจุดที่ดีที่สุด
โครงการฯ ไม่ใช่หน่วยราชการ ใช้วิธีการสมัครใจเข้าร่วมโครงการฯ ต้องการสร้างให้อบต.เป็นตัวอย่าง ซึ่งหากอบต.ทำด้วยความมุ่งมั่นก็จะเป็นจุดเรียนรู้ของทั่วประเทศ แต่หัวใจสำคัญอยู่ที่ว่าอบต.จะเป็นรัฐบาลท้องถิ่นจริงหรือไม่ โครงการฯจะเข้ามาในฐานะเพื่อน โครงการฯมีทุนอะไร อบต.เองมีทุนอะไร ก็จะช่วยหนุนเสริมกำลังแก่กันได้
๑) อบต.เป็นความหวังของจุดเริ่มต้นการเรียนรู้เล็กๆ เห็นด้วยว่า เริ่มต้นจากการเรียนรู้ของทุกฝ่าย เมื่อประสานกับหน่วยงานราชการ (รวมทั้งอบต.) รู้สึกหนักใจ/น้อยใจทุกครั้ง ในเรื่องกฎระเบียบของส่วนราชการ ที่มีข้อบังคับ และคำนึงถึงฐานเสียง คิดจะพัฒนาโดยดึงงบประมาณไปแต่หมู่บ้านตนเอง เมื่อประสานกับชาวบ้านก็เจอกับความคิดที่ต้องการเงินอย่างเดียว ต้องมีเงินตอบแทนจึงจะมา เราก็พยายามทำงานร่วมกัน เป็นข้อเท็จจริงที่ควรพิจารณาว่าเราจะเริ่มต้นอย่างไร วันนี้ตำบลของตัวเองมา ๒ คน อีกหลายพันคนยังไม่ได้รับรู้ แต่ถ้าเราไม่เป็นคนเริ่มต้น อีกหลายพันคนนั้นจะรับรู้ได้อย่างไร การเรียนรู้ของชุมชน ถ้าลำพัง ๒ คนนี้ คงไม่มีกำลังเพียงพอ อบต.ได้รับบทบาทมากมายที่ลงมาเป็นเอกสาร ในฐานะที่เราเป็นตัวกลาง เราเล่นบทบาทที่เขาให้แสดง แต่เมื่อจบเราก็ยังเป็นพี่น้องกัน เราต้องร่วมมือกัน ไม่ว่าจะมีเวทีน้อยนิดแค่ไหน อยากให้เราทุกคนแสดงศักยภาพของเราให้เขารับรู้ อบต.ถูกคาดหวังและถูกวิพากษ์วิจารณ์มาก เราเป็นหน่วยงานใหม่ ไม่มีองค์กรมาเป็นหน้าเสือให้เรา แม้มีเงินเพียงนิด แต่มีเพื่อนฝูงคอยฝ่าฝันอุปสรรคไปร่วมกัน คนสุพรรณไม่ได้คิดจะมีถนนหนทางที่ดีอย่างเดียว เราอยากปลุกจิตสำนึกให้ชุมชนของเราไปในทิศทางที่ดีด้วย (องค์การบริหารส่วนตำบลหนองสาหร่าย)
“กรณีนี้สะท้อนให้เห็นว่า เราต้องไปต่อสู้กับความคิด ความเคยชิน มากมาย ภายใต้ปัญหา และความยุ่งยาก ไม่ใช่ไม่มีทางออก หัวใจสำคัญคือ การเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงความคิด พฤติกรรม เราต้องไปสร้างไว้มากๆก่อน อยู่ๆจะเปลี่ยนทันใจไม่ได้ เราเปลี่ยนโลกทั้งโลกไม่ได้ แต่ความสุขของเราก็ยังมีแม้เพียงน้อยนิด”
๒) เริ่มมีการพัฒนาท้องถิ่นโดยใช้การจัดการความรู้ท้องถิ่น เริ่มต้นจากกลุ่มย่อยก่อน จากนั้นก็ขยายต่อไปไม่ได้สร้างกลุ่มเดียว มีคนมาช่วยเราสมทบด้วย ต้องเดินหาซึ่งกันและกัน งานที่ทำคือลดปัญหาด้านการเกษตรที่เป็นอยู่ซึ่งรอน้ำฟ้าเท่านั้น กักเก็บน้ำไม่ได้ผล ถ้าน้ำไม่มีก็ไม่ได้ทำการเพาะปลูก จึงมีการรวมกลุ่มกันเลี้ยงสัตว์ ทางผู้บริหารก็เห็นความสำคัญเป็นอาชีพหนึ่งเพิ่มขึ้นมา พอรวมกลุ่มกันได้ก็ประสานความช่วยเหลือจากเทศบาล ปศุสัตว์ก็เข้ามาแนะนำว่าพื้นที่เหมาะแก่การเลี้ยงสัตว์ชนิดใด เทศบาลจึงกลายเป็นศูนย์รวมการเรียนรู้ด้วยความต้องการของเขาเอง ได้รับสนับสนุนงบประมาณครัวเรือนละ ๓ หมื่นบาท ไปซื้อสัตว์มาเลี้ยง ให้ชาวบ้านเลือกซื้อเอง เงินเหลือก็มาทำโรงเรือน กำหนด ๓ ปีให้ส่งเงินคืน จากควาย ๒ ตัว ขยายเป็นเกือบ ๑๐ ตัวแล้วในขณะนี้ จาก ๑๖ หมู่บ้านในตำบลขยายเป็นมีวัว ควาย แพะ ๒๒๐ ครัวเรือน นอกจากนี้มีกลุ่มยุวชนเลี้ยงผึ้ง กลุ่มผู้ปลูกข้าวพันธุ์ดีอีก ๔-๕ กลุ่ม แต่ยังขาดการประสานงานเชื่อมโยงหน่วยงานที่ส่งเสริมการเรียนรู้ในการลงไปสู่ชุมชน เช่น กศน. ซึ่งทำให้ชาวบ้านรู้ว่าลักษณะต่างคนต่างทำ (องค์การบริหารส่วนตำบลตลุกดู่)
๓) การรวมกลุ่มกันจนเกิดสภาหมู่บ้าน การแก้ปัญหาของหมู่บ้าน ส่วนใหม่ชาวบ้านไม่ค่อยเสนอความคิดเห็น ให้ผู้ใหญ่เป็นฝ่ายคิดอย่างเดียว เริ่มการมีส่วนร่วมโดยคัดเฉพาะผู้นำโดยธรรมชาติมาร่วมคิด จาก ๑ หมู่บ้าน เป็น ๒ หมู่บ้าน ขยายไปเรื่อย ๆ จนถึง ๑๑ หมู่บ้าน การแก้ปัญหาโดยทำ “สภาหมู่บ้าน” นี้ มีการเปลี่ยนแปลงของชาวบ้านที่เริ่มเห็นคือ จากแรกๆมีผู้เข้าร่วมประชุมไม่กี่สิบคน ขณะนี้มีมาร่วมประชุมนับร้อยคน (องค์การบริหารส่วนตำบลหนองหญ้าไซ)
๔) ตัวอย่างดีๆที่เดินหน้าไปให้เห็นก่อน ตำบลประดูยืนมีความโชคดีตรงที่เราเริ่มทำแผนแม่บทชุมชนก่อน เนื่องจากมีทรัพยากรที่สมบูรณ์และมีผู้นำที่เก่ง โดยเฉพาะนายกฯประดู่ยืนที่เป็นผู้นำในเวทีระดับชาติ ประสานความร่วมมือจากภาครัฐได้ดี และสิ่งที่ทำก็ตรงกับนโยบายของรัฐบาลพอดี นายกฯอบต.เป็นแกนนำในการขยายผล ๓๐ ตำบลทั่วจังหวัดร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด รัฐให้ความร่วมมืออย่างมาก การทำงานง่ายขึ้น การแก้ปัญหาเริ่มจากพิจารณาเห็นว่าตำบลประดู่ยืนเอื้ออำนวยต่อการทำการเกษตร โดยเฉพาะการปลูกข้าว แต่ทำไมเกษตรกรกว่า ๘๐% ทำการเกษตรแต่สภาพความเป็นอยู่ไม่ดีขึ้น วิเคราะห์ทราบว่าเป็นเพราะต้นทุนสูง เราค้นหาถึงปัญหา มาทำเป็นแผนแม่บท หาหนทางการแก้ปัญหา ตั้งกลุ่มปุ๋ยชีวภาพ กลุ่มโรงสีชุมชน รับซื้อข้าวจากกลุ่มเกษตรในตำบล นายกฯก่อนที่จะมาอยู่อบต. ได้มีการขับเคลื่อนงานอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเข้ามาอยู่ใน อบต. การผลักดันงานก็ง่ายขึ้น อบต.มีการจัดบัญญัติที่จะสร้างชุมชน
ให้เข้มแข็ง เริ่มต้นโดยมีโครงการรองรับอยู่แล้ว รอการประสานงานจากทางโครงการอยู่ว่าจะให้ร่วมมืออย่างไร
ประดูยืนได้เรียนรู้ว่า บางสิ่งบางอย่างหน่วยราชการเข้ามาสนับสนุนตามกระแส พอหมดก็ถดถอยเลิกรากันไป ปล่อยให้เราต่อสู้กันเอง สิ่งที่เราเห็นว่าเป็นปัญหาหลัก คือเรื่องอาชีพ ที่จะมาเป็นปัจจัยหนุ
อ่านแล้ว ได้ความรู้ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นบางที่ยังไม่เห็นความสำคัญ
อ่านแล้วมีความรู้มากๆครับ
จากพรมมา
อ่านแล้วค่ะ
ตวงรัตน์
อ่านแล้ว ได้ความรู้ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นบางที่ยังไม่เห็นความสำคัญ
ได้อ่านแล้ว ได้ความรู้ และมีคุณค่ายิ่งนัก อยากเผยแพร่ให้เพื่อน ๆ ท้องถิ่น (อปท.) ที่คุณครู(บางกลุ่ม)กำลังดูแคลน โดยขออนุญาติ นำเรื่องราวบางตอนไปถ่ายทอดเพื่อน ๆ ต่อ ไม่ทราบว่าอาจารย์จะขัดข้องหรือไม่
ขอขอบพระคุณล่วงหน้าครับ
ท้องถิ่นตัวเล็ก