ผมกลัวเชื้อแบคทีเรียตัวนี้มาก ผมยอมรับเลยว่า ทำให้คนอย่างผมเครียด กว่ารู้ว่าเป็นทุพพลภาพอีก
หลังจากที่ผมติดเชื้อจาก รพ. ที่ 2 มาค่อนข้างรุนแรง ในเบื้องต้นเมื่อมาอยู่ที่พญาไท 1 ผมมีอาการไข้ขึ้นสูงที 39-39.5 องศาเซลเซียสตลอด ร้อนๆ หนาวๆ
เวลาร้อน ต้องใช้น้ำแข็งผสม แล้วเช็ดตัว โดยเฉพาะแนวไขสันหลังด้านหลัง ชั่วโมงต่อมาก็รู้สึกหนาว ต้องเอาน้ำอุ่น เช็ดตัวและแนวไขสันหลังเหมือนเดิม สลับกันไปอย่างนี้วันละหลายรอบ
รวมถึงตัดสินใจไม่เปิดแอร์ (เครื่องปรับอากาศ) ในห้องเลย สงสารคนเฝ้า คนมาเยี่ยม และทีมงานนางพยาบาล-ผู้ช่วยฯ เหมือนกัน แต่ถ้าเปิดก็จะรู้สึกหนาวมาก อยู่ไม่ได้
อาการไข้ เป็นอาการแสดงออกของการติดเชื้อที่มีหลายลตัว ดังนั้น
" แนวทางในการรักษาอาการติดเชื้อ " ของผมจึงดูจะซับซ้อน ต้องทดลองให้ยา และเก็บข้อมูล วิเคราะห์กันตลอด ผมขอสรุปเป็นลำดับขั้นตั้งแต่ต้นจนจบรวดเดียว เพื่อง่ายต่อการแยกเรื่อง-เนื้อหา ให้ผู้อ่านไม่สับสนครับ
1. เริ่มจากผมติดเชื้อหลายตัว (ถ้าจำไม่ผิด 4 เชื้อครับ)ทั้งในกระเพาะปัสสาวะ และที่แผลกดทับ และประกอบกับเนื่องจาก รพ. ที่ 2 ใช้ยาปฏิชีวนะที่แรงที่สุดมาแล้ว คุณหมอจึงตัดสินใจใช้ยา ถึง 3 ชนิด (หรือ 3 ตัวยา) พร้อมๆ กัน ซึ่งรายละเอียดของยาแต่ละตัวผมจำไม่ได้ แต่จะมีความถี่ในการให้ยาแต่ละตัวต่างกัน เช่น ยาตัวที่ 1 ให้ทุกๆ 8 ชั่วโมง ตัวที่ 2 ทุก 12 ชั่วโมง และอีกตัวทุก 24 ชั่วโมง ทั้งหมด 6 ครั้งต่อวัน โดยการฉีดยาผสมเข้าไปในน้ำเกลือ
ถึงตรงนี้ต้องขอบพระคุณคุณหมอ ที่อนุญาติให้ทางผมสามารถไปซื้อยาจากนอกโรงพยาบาลได้ แต่ทางผมต้องรับผิดชอบในคุณภาพของยาเอง และต้องเสียค่าบริการในการฉีดยาเข้าน้ำเกลือต่อครั้งต่างหาก ทำให้สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้นับแสนบาท เพราะยาแต่ละชนิดมีราคาต่อ "โดส" สูงมาก (ถ้าไม่ได้เงินประกันชีวิต ผมคงแย่ไปแล้ว เรื่องประกันชีวิต ใกล้จะกล่าวถึงเร็วๆ นี้)
2. หลังจากได้รับยาต่อเนื่องตลอด 1 เดือนดูจะยังไม่มีอะไรดีขึ้น คุณหมอแจ้งว่าจะต้องลดปัจจัยอื่น คือต้องรีบผ่าตัด เพื่อปิดแผลกดทับก่อน โดยคุณหมอให้ผมเตรียมตัวอีก 10-15 วันจะผ่าตัด แต่รู้สึกว่าเกี่ยวกับรายงานอาการเป็นไข้ของผม คุณหมอเห็นท่าไม่ดี จึงขอผ่าตัดด่วนก่อนกำหนด 1 สัปดาห์
ผมเคยถามคุณหมอว่า " มีอะไรที่ผมต้องทำบ้างไหม (ผมหมายถึงการปฏิบัติ หรือการดูแลเรื่องทานอาหาร หรืออะไรก็ได้ที่ต้องทำเป็นพิเศษ) เพื่อช่วยคุณหมอ หรือทำให้มันดีขึ้น " คุณหมอบอกว่า เท่าที่ผมอดทนกับอาการที่คอ การเป็นไข้ และต้องนอนตะแคงตลอด เท่านี้ก็ถือว่าอดทนมากพอแล้ว ต้องผ่าตัดให้เร็วที่สุด
3. หลังการผ่าตัด (รายละเอียด ผมจะกล่าวถึงในตอนอื่นนะครับ อย่างที่บอกไว้ คือจะแยกเป็นเรื่องๆ ให้ เพื่อง่ายต่อการอ่านครับ) ของแผลกดทับ ซึ่งจริงๆ แล้วแผลยังไม่พร้อม เนื่องจากเนื้อยังไม่เต็มแผล แต่คุณหมอรอไม่ได้ เป็นไข้ตลอด
4. จากนั้นอีก 1 สัปดาห์ปรากฏว่าเชื้อหายไป 1 ตัว แต่ไข้ก็ยังไม่ลดลง คุณหมอจึงนำด้ายที่ผ่าตัด ซึ่งถือว่าสัมผัสเนื้อใต้ผิวหนังที่ผ่ามาปิดแผลไปตรวจ เพื่อดูว่าเชื้อยังอยู่ที่แผลอีกหรือไม่ (จากสถานการณ์นะครับ ผมวิเคราะห์เอาเองว่า คุณหมอคงไม่ซีเรียสกับเชื้อในกระเพาะปัสสาวะ แต่ซีเรียสเชื้อที่แผลกดทับมากกว่า) ปรากฏว่ายังมีเชื้ออยู่ จึงรับยาต่อเนื่อง แต่เหลือเพียง 4 โดสต่อวัน
5. ผ่านไปอีกสัปดาห์ อาการไข้ผมลดลง แผลที่ก้นกบผมดีขึ้นมาก คุณหมอว่า หายห่วงแล้ว ผมยังคงต้องรับยาต่อแต่เหลือเพียง 2 โดสต่อวัน และยาบางตัวให้เปลี่ยนมาทานเป็นยาเม็ดแทน ซึ่งยาเม็ดเหล่านี้ ช่วงที่กลับบ้านยังคงต้องทานอยู่
6. ตอนนี้เชื้อในกระเพาะปัสสาวะผมเหลือแค่ตัวเดียวแล้ว คือ "สูโดโมแนส" นั่นเอง ผมจำได้ว่าเชื้อตัวนี้เท่าที่ผมอ่านเจอในหนังสือ ร้ายกาจมาก ตายยาก สาเหตุเพราะว่า
มันเป็นเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งเราก็รู้อยู่แล้วว่า เชื้อแบคทีเรียจะแตกตัวแบบทวีคูณ (คือ จาก 1 เป็น 2, จาก 2 เป็น 4 เป็น 8 เป็น 16 หมายถึงแตกตัวแบบเท่าตัว หรือคูณ 2 ไปเรื่อยๆ) แค่นี้ก็ร้ายแล้วครับ
จากนั้นเจ้านี้ก็เก่งมากครับ มันจะปล่อยเอมไซน์ออกจากตัวของมันครับ เจ้าเอมไซน์จะไปทำให้บริเวณผิวกระเพาะปัสสาวะเป็นรู หรือโพรง จากนั้นมันก็เข้าไปฝังตัวในผนังของกระเพาะปัสสาวะ และโผล่บางส่วนของตัวมันออกมา เพื่อแตกตัวแบบทวีคูณต่อ เป็นไงครับ เข้าท่าไหมครับ มันเก่งมากเลยครับ (นี่เป็นข้อมูลที่ผมอ่าน แล้วจดจำได้ ซึ่งผมก็ไม่มั่นใจเท่าไหร่ว่าถูกต้อง 100% ไหม หนังสือที่อ่านก็ไม่รู้ไปไว้ไหน ผมจึงรอผู้รู้จริงทุกท่านเข้ามาช่วยตรวจทาน แก้ไข เพื่อเป็นวิทยาทานครับ)
ผมกลัวเชื้อแบคทีเรียตัวนี้มาก ผมยอมรับเลยว่า ทำให้คนอย่างผมเครียด กว่ารู้ว่าเป็นทุพพลภาพอีก แต่สุดท้ายผมก็ต้องอยู่กับมันให้ได้ ดังนั้นการดื่มน้ำมากๆ ก็ทำให้ช่วยไล่ลูกหลานของมันตลอดเวลานั่นเอง หรือเป็นการลดความเข้มข้นของปริมาณของเชื้อต่อหน่วยของน้ำปัสสาวะที่อยู่ในกระเพาะปัสสาวะได้เช่นเดียวกัน ทำให้ปัจจุบันผมดื่มน้ำไม่ต่ำกว่าวันละ 2-3 ลิตรทุกวัน ปฏิบัติได้อย่างนี้แล้ว หลังจากกลับมาอยู่บ้าน ผมยังไม่เคยเป็นไข้เนื่องจากเชื้อสูโดโมแนสเลย
ดังนั้นพอจะสรุปได้ว่า คุณหมอแก้ไขการติดเชื้อหลายตัว ด้วยการให้ยาหลายชนิด และเมื่ออาการไม่ดีขึ้นจึงรีบผ่าตัดปิดแผลกดทับ เพราะน่าจะเป็นต้นเหตุหลัก ให้ยาต่อเนื่องจนไข้ลดลง และสู่สภาวะเฝ้าระวังเชื้อได้
ผมคงจะไม่รู้ทางด้านเทคนิคอะไรมาก ผมรู้แต่ว่าตอนนี้ ผมมีเพื่อนสนิทอีกตัว ชื่อสูโดโมแนส ไม่ใช่อีกตัวซิ ต้องบอกว่าอีกหลายล้านตัวต่างหาก
ตอนหน้าผมขอพูดถึงเรื่อง การขับถ่ายกับ ยา MOM ครับ ใครคิดว่าเรื่อง " อุนจิ อุนจิ " เป็นเรื่องสำคัญลองติดตามนะครับ เพราะสำคัญจริงๆ
ขอบคุณครับ
ปรีดา ลิ้มนนทกุล
mobile : 089-6910225
Tel. & Fax.: 02-9232724
email :
[email protected]