แสงศตวรรษ


"เฮ้ย ขอกูคิดเองสักหน่อยได้ไหม มันเป็นการขอที่มากไปหรือเปล่า" คงจะแทนทุกคำที่อยากบอกได้ละครับ

แวะไปอ่านเจอเรื่องราวของกองไดโนซอรัส แล้วคิดว่าคงแทนถ้อยคำที่อยากอธิบายได้ทั้งหมด

เพราะถ้าตัวเอ เอง อธิบายคงไม่ได้รายละเอียดขนาดนี้ ด้วยที่ตัวเองชอบสรุปมาให้เรียบร้อยและห้วน  ถ้าคิดได้จะรู้ แต่ถ้าคิดไม่ได้จะดูเหมือนด่า เลยเอามาให้อ่านดีกว่า ^^

 

เครือข่ายรณรงค์เพื่อเสรีภาพภาพยนต์
FREE THAI CINEMA MOVEMENT

คือชื่ออย่างเป็นทางการของการเคลื่อนไหวครั้งนี้
ที่น่าจะมีคุณ ชลิดา เอื้อบำรุงจิต มูลนิธิหนังไทย เป็นผู้ประสานงาน
และคงต้องเป็นหน้าเสื่อรับผลกรรมทั้งหลายแหล่

เอ ทำไมไม่ตั้งแนวๆพันธมิตรประชาชนเพื่อภาพยนต์ไทยอะไรเทือกกันนั้นนะ

หลังจากผจญความร้อนระอุเฉียด 40 องศาในตอนกลางวัน เราก็ไปถึง
เฮ้าส์ประมาณเวลานัดหมาย น่าจะไปก่อนเวลาอีก ทำยังไงได้ คนมันว่างงาน
ดูๆคนยังบางตาป่าช้ายังไงอยู่ แต่ก็เข้าใจนักข่าวสายบันเทิงช่วงนี้
ต้องไปตามข่าวบอลหมั้นนาตาลี ที่เป็นผลประโยชน์ของประชาชนประเทศนี้อยู่

ลงทะเบียนและนั่งรอสักพัก คนเริ่มคึกคัก เขาก็ต้อนกันเข้าโรงที่จัดแถลง
มีการฉายตัวอย่างให้ชมพองาม จากนั้นผู้เข้าร่วมสัมนาและแถลงข่าว
ก็ขึ้นแท่น มี พี่เจ้ย, ปรัชญา ปิ่นแก้ว, พันธัมม์ ทองสังข์โปรดิวเซอร์ภาพยนต์หลายเรื่อง
ล่าสุดมะหมา มาในฐานะเคยถูกรับเชิญไปพิจารณาเซ็นเซ่อหนัง, จีระนันท์ พิตรปรีชา,
ชลิดา เอื้อบำรุงจิต และพี่ป๊อด มีคุณพิมพกา โตวิระผู้กำกับคืนไร้เงาดำเนินรายการ

แน่นอนขึ้นเรื่องด้วยเจ้าตัว พี่เจ้ย พูดท้าวความให้ฟังเล็กน้อย
ก่อนแสดงความคิดเห็นต่อเหตุการณ์นั้น ก็ไม่ต่างเท่าไหร่จากที่เราอ่านๆกันแถวนี้
แต่ขยายความให้ชัดเจน มันจะเข้าใจง่ายกว่านี้ ถ้าหากประเทศนี้เปลี่ยนเป็น
เด็จการหรืออะไรยังงั้นไปเลย เค้าจะได้ไม่ต้องมานั่งตั้งคำถามอีก ว่าประเทศเราคืออะไรกันแน่
เราเป็น Protected State เกินไปหรือเปล่า คัดกรองเฉพาะสื่อเพื่อเด็ก 5 ขวบ
กลัวสมองประชากรจะเติบโตกว่านั้นเหรอ เค้าไปเห็นเด็กฝรั่งอายุ 20
กล้าแสดงความคิดเห็น แล้วเกิดอะไรขึ้นกับเด็กไทยอายุเท่ากัน งอแง คิดอะไรเองไม่เป็น
"เรากลัวหลานเรามันจะโง่"

ทางออกมันมีหลายวิธี เอาเป็นจัดเรตตามประเทศที่เจริญแล้วเลยก็ได้
ดีกว่าต้องมานั่งอธิบายให้คนที่สอนอีก 2 ชาติก็ไม่เข้าใจ(หมายถึงไม่เข้าใจศิลปะ)

เนื่องจากก็ติดตามพี่เจ้ยมานาน ถึงจะไม่ได้รู้จักตั้งแต่ดอกฟ้าในมือมาร
แต่ก็รู้จักก่อนสุดสเน่หาจะได้รางวัล พี่แกสู้เพื่อที่จะสร้างหนังมาตลอด
ไม่มีรัฐบาลหรือใครคนไหน มาเหลียวแล แต่พอได้รางวัลขึ้นมา
ก็มาเอาหน้าว่านี่คนไทย ตอนที่เขาต่อสู้กับเงินทุนที่แสนจะน้อยนิดอยู่
มีใครอยู่ข้างบ้างไหม สู้เพื่อที่จะได้ทำงานขนาดนี้ ยังต้องมาเจอเหตุการณแบบนี้

"จนมาคิดว่า เราย้ายประเทศดีไหม"

พี่ตั้งคำถามกับตัวเองอย่างจริงจัง
กับความเหนื่อยยากทั้งมวลที่ประสบมา
สิ่งตอบแทนที่ประเทศนี้ให้คือสิ่งนี้
หรือถ้าย้ายไม่ได้ ก็ต้องเปลี่ยนแปลงมัน

คุณจีระนันท์เสริมว่า แน่ล่ะเรื่องสื่อไม่ควรยั่วยุเด็ก อย่างเหตุการณ์เด็กเกาหลีนั่น
สื่ออาจมีผลก็ได้ มันอาจมีเด็กหนึ่งในร้อยล้านที่ลุกขึ้นมาทำแบบนั้น
หลังจากได้ดูฉากยิงกันในหนัง แต่เรายินดีเอาเสรีภาพของเราไปแลกกับ
"ความปลอดภัยสัมบูรณ์" ขนาดนั้นหรือ?

หรือเราต้องออกกฎเพื่อจำกัดประเด็นในการทำงานสร้างสรรค์ศิลปะไปเลยไหม
ว่าอย่างไหนทำได้ อย่างไหนทำไม่ได้ จะได้ไม่ต้องมานั่งถามกัน ขีดกรอบให้ศิลปินไปเลย
พวกประติมากรรมในศิลปากร ต้องเอาอะไรไปแปะตรงหัวนมไว้ให้หมด
เราเคยนั่งหัวเราะเยาะประเทศนั้นประเทศนี้ที่ดูงี่เง่าเซ็นเซ่อกัน แต่มันกำลัง
เกิดขึ้นกับเรา ขำออกกันไหม เรานี่แหละคือประเทศด้อยพัฒนาของแท้เลย



พี่ป๊อดพระเจ้าของเด็กแนว ซึ่งมางานนี้ด้วยใจ (ประมาณว่าขอมาพูดด้วย ทนไม่ไหว)
ก็พูดในแง่มุมของคนส้รางสรรค์ศิลปะว่า ภาพยนต์คือสิ่งสะท้อนพฤติกรรมของมนุษย์
ในมิติต่างๆ "พระและหมอ คือมนุษย์" แต่เอาล่ะ แม้ว่าสามแสนสถาบันอะไรนั่นไม่พึงพอใจ
แต่ศิลปะแต่ละชิ้น มันควรจะมี"ที่ทาง"ให้แสดงออกของมัน การปิดโอกาสไปเลยแบบนี้
มันอุกอาจ และสมควรได้รับการเปลี่ยนแปลง เหมือนตอนเด็ก ที่พี่แกโดนครูมาตัดผม
ที่ห้องสอบ "เฮ้ย ขอกูคิดเองสักหน่อยได้ไหม มันเป็นการขอที่มากไปหรือเปล่า"
หรือเราถูกสอนให้ยอมๆๆๆๆๆ แล้วก็ยอมจนชาชินไปแล้ว

ส่วนสิ่งที่พี่แกต้องการก็แค่ "ที่ทาง" ของศิลปะ ขอแค่ที่ทางที่เหมาะสม
ไม่ได้หวังว่ารัฐบาลจะมาใส่ใจหรือประชาชนทั่วไปจะมาร่วมผลักดันอะไร
เพราะสำหรับการเมือง ศิลปะมันเป็นเรื่องซับซ้อนเกินไปสำหรับเขา
จึงขอแค่ให้โอกาสและที่ทางให้ศิลปินได้นำเสนอสิ่งที่เขาสร้างสรรค์




หลังจากนั้นก็มีแขกในห้องส่ง (ส่งไปไหนวะ)ร่วมแสดงความคิดเห็น
มีคุณพี่นั่งแถวหน้าท่านหนึ่ง ผมเข้าใจว่าเป็นนักต่อสู้หรืออะไรทำนองนั้น
เพราะการพูดจา ความคิดลุ่มลึก ครอบคลุมประเด็นแจ่มแจ๋วเสียจนผมเข้าใจว่า
น่าจะมีชื่อเป็นที่รู้จักแน่ๆ ท่านเสนอว่าต้องฟ้อง เพื่อให้เกิดเป็นคดี
ฟ้องว่า บัญญัติที่ถูกตราไว้ตั้งแต่ปี 2473 ตั้งแต่ประเทศยังไม่เปลี่ยนแปลงการปกครอง
มาเป็นระบอบประชาธิปไตยนี่ขัดกับรัฐธรรมนูญไหม?

เพื่อที่จะนำไปสู่การเป็นประเด็นสาธารณะ ไหนๆคุณเจ้ยก็ไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว
อยากให้กรณีนี้ไปถึงที่สุด เพราะไม่มีใครเคยนำมันไปถึงที่สุดสักที
เพื่อจะได้ทลายกำแพงให้ล้มลงเสียที!

เสรีภาพของพวกเราคงไม่ได้มาง่ายๆ และคงไม่มีใครมาประทานให้
อยากให้เรื่องนี้มีผลมากกว่าแค่การมานั่งบ่นกัน, เราจะบ่นกันไปถึงไหน

(ผมว่าคำถามนี้น่าส่งต่อไปสู่ผู้คนในโลกไซเบอร์ได้) เราไม่ยอมให้คุณมาใช้
กฎหมายที่ขัดกับรัฐธรรมนูญนี้

ที่เขาจำกัดเราแบบนี้ เค้าอยากให้เราเป็นเด็กตลอดไป
อยากให้เราโง่ต่อไป เพื่อที่จะได้ควบคุมง่ายๆ

ครั้งนี้ "พอกันที"!


แต่พี่ปรัชก็ย้ำให้ชัดว่า ที่เราต่อสู้กันเนี่ยไม่ได้ต่อสู้เพื่อจะได้พูดคำหยาบ
ไม่ได้สู้เพื่อจะได้ใส่ฉากโป๊ลงในหนังอีก แต่เราสู้เพื่อหลักประกัน
สำหรับอิสระภาพในการสร้างสรรค์ผลงาน



แล้วหลังจากนั้น ผู้ชมท่านอื่นๆก็แสดงความคิดเห็น
หนึ่งในผู้ชมนั้นก็มีคุณมานพ อุดมเดช(ผู้กำกับหนัง)ด้วยนั่งพนักเก้าอี้ดูอยู่
ที่นั่งมันเต็ม ส่วนคนที่นั่งเก้าอี้ตัวนั้นคือ คุณอังเคิ่ล ผู้กำกับใหญ่อีกท่านหนึ่ง
(แต่สงสัยเดี๋ยวนี้คนจะรู้จักเพราะบทตำรวจคู่ในหนังยุทธเลิศล่ะมั้ง)
ที่แกบอกว่า คุยกันอีกกี่ชาติกับเซ็นเซ่อก็ไม่มีวันรู้เรื่องหรอก
แกโดนประจำ ขนคนไปอธิบายเป็นรถบรรทุก มันก็ไม่รู้เรื่องกัน
พร้อมกับเล่าประสบการณ์ทำนองนี้ด้วยลีลาชวนขำของแก
เรียกว่าแฉแหลก แต่เรื่องที่แฉนี่คงต้องขำทั้งน้ำตา

ในกลุ่ม"ผู้ชม"นี่ยังมีอีกหลายท่านที่ยังไม่ได้เอ่ยนามนะครับ
จะว่าไปก็มากันครบแหละ คนที่ควรจะได้เห็นหน้า
ไม่ว่าจะเป็น คุณโดม สุขวงศ์-หอภาพยนต์แห่งชาติ, อ.กิตติศักดิ์ สุวรรโภคิน
นักวิจารณ์ภาพยนต์ชั้นครู(ที่ผมถึงกับแอบกรี้ดในใจตอนแกเดินมายืนอยู่ไกล้ๆ)
ทีมไบโอสโคปอย่างคุณสุภาพ คุณธิดา คุณธัญสก(อ่านว่าทัน-สะกะ
ที่มาโพสนี่แหละ เฮียแกเป็นนักทำหนังสั้นชื่อดัง)กลุ่มไทยอินดี้ กลุ่มไทยช็อร์ตฟิล์ม
พิง ลำพระเพิงใส่เสื้อกล้ามกางเกงวอร์มมา,ลี ชาตะเมธีกุล
(นักตัดต่อชื่อดัง ที่หล่อกว่าพระเอกหนังทุกเรื่องที่แกตัดซะอีก)
ผู้กำกับอีกเป็นโหลที่ผมลิ้งค์ชื่อกับหน้าไม่ได้ ฯลฯ
เอาเป็นว่า ควรจะได้เห็นหน้าใคร ก็มาให้เห็นครบ
รวมกันถ่ายรูป ให้สัมภาษณ์สื่อต่อข้างนอก แล้วก็คงแยกย้ายกันไปบ้านใครบ้านมัน
แต่ไม่รู้ว่าไอ้ที่สัมภาษณ์ๆกันจะมีเวลาออกไปไหม เห็นติดข่าวบอล-นาตาลี



ฟังจนจบ เรามีข้อสรุปส่วนตัวดังนี้

สำหรับเขา
1.ยกเลิกกฎหมายเซ็นเซ่อ โบร่ำโบราณ
(ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองซะอีกนะ)
สร้างมาตรฐานใหม่ อาจเป็นการจัดเรทก็ได้
2.ฆ่าศิลปินที่มีอยู่ในประเทศนี้ทิ้งให้หมด

สำหรับเรา
1.สู้เพื่อทลายกำแพงแห่งการสร้างสรรค์นี้
2.ย้ายประเทศ

Ref : http://f0nt.com/forum/index.php?topic=9644.msg580663#msg580663 

 

 

หมายเลขบันทึก: 92162เขียนเมื่อ 24 เมษายน 2007 11:33 น. ()แก้ไขเมื่อ 30 เมษายน 2012 17:50 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)
รู้สึกว่าเป็นความรับผิดชอบของเราที่ต้องสู้หนะ

 

ใช่ครับ สู้ครับ

 

เพื่อประเทศไทยของใครก็ไม่รู้ >.< 

กรณี “อ่อยฉันแล้วเธอจะรู้สึก” กองเลินเล่อหวั่นถูกอุทธรณ์ทำงานอย่างหละหลวม

- รายงานโดย สำนักข่าวฟิล์มไวรัส - [email protected] ด็อกเตอร์ ปฏิชีวนะ กากี่นั้ง ตัวแทนกองเลินเล่อฉายา “ผีชีวจิต”, “ใหญ่ฟัดยักษ์” และนาย สรุปโรค ข้าวโพดเงิน นิติกรประจำแพทย์สภาหวั่นใจอาจถูกมหาชนฟ้องกลับฐานดูหมิ่นวิจารณญาณและปัญญาของประชาชน รวมทั้งอาจถูกศาลศิลปะโลกฟ้องฐานละเลยความสำคัญของงานภัณฑารักษ์ ตามเวลาประเทศสยามของวันนี้คือ วันที่ 23 เมษายน 2550 เวลา 16.00 น. ศาลศิลปะโลกชี้ตามพรบ. กฏแห่งกรรม ฉบับใหม่ปี 2550 ประชาชนสาธารณรัฐสยาม สามารถเอาผิดฟ้องกลับกองเลินเล่อฐานปล่อยให้กองทัพหนังไร้สาระกรอกหูตาประชาชนมาเป็นเวลาเนิ่นนาน โดยศาลโลกแนะนำเครือข่ายปลดแอกกะลาสยามให้เรียกเก็บดอกเบี้ยค่าโง่ย้อนหลังเป็นเวลา 100 ปี เพื่อดำเนินการวางรากฐานงานพิพิธภัณฑ์เปิดหูตาประชากร กองเลินเล่อของสาธารณรัฐสยาม กำลังถูกศาลโลกตั้งคำถามกับฉากเบาปัญญาจำนวนมากในภาพยนตร์แนวต่าง ๆ ทั้งแอ็คชั่น สยองขวัญ ตลก โรแมนติคคอมเมดี้ แนวประวัติศาสตร์ ฯลฯ ทั้งนี้ทั้งนั้นทางศาลโลกรู้สึกกังวลกับอคติคลั่งชาติ และอารมณ์ขันเหยียดเผ่าพันธุ์อื่นที่สะท้อนออกมาจากภาพยนตร์สยาม รวมทั้งฉากฆ่าฟันบั่นคอในนามของหฤหรรษ์บันเทิง

 

เสียดสีได้ใจดีครับ ^^ 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท