หน้าแรก ›
สมาชิก ›
นาย กุลวีร์ เสรีกุล ›
สมุด ›
ลามกจนได้ดี › ข้อตกลงพ่วง (Tying arrangement): พฤติกรรมต้องห้...
ข้อตกลงพ่วง (Tying arrangement): พฤติกรรมต้องห้ามและน่ารังเกียจ ? (2)
นาย กุลวีร์ เสรีกุลเขียนเมื่อ 7 ธันวาคม 2005 09:23 น. ()
แก้ไขเมื่อ 16 มิถุนายน 2012 14:05 น. ()
ถึงแม้การทำธุรกรรมโดยพ่วงสินค้าเข้าด้วยกันจะเป็นพฤติกรรมที่ทำลายความเสรีทางการค้า ก่อให้เกิดการผูกขาด และทำลายเศรษฐกิจ แต่การพ่วงสินค้าเทคโนโลยีเข้าด้วยกันนั้นอาจมีผลก่อให้เกิดการพัฒนาทางเทคโนโลยี และเป็นการให้รางวัลตอบแทนผู้คิดค้นอย่างเต็มที่เพื่อสร้างเสริมให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อประโยชน์ทางสังคมและเศรษฐกิจ ดังนั้นในแง่ของการพัฒนาเทคโนโลยี (ซึ่งผู้เขียนเห็นว่าน่าจะรวมถึงเวชภัณฑ์บางอย่าง) และเศรษฐกิจการทำธุรกรรมพ่วงอาจเป็นผลดีมากกว่าผลเสียได้เช่นกัน
หลายสิบปีที่ผ่านมา
การทำข้อตกลงขายพ่วงเป็นการกระทำทางการค้าที่ถูกห้ามอย่างเด็ดขาดในประเทศสหรัฐอเมริกา
มีการนำหลักความรับผิดเด็ดขาด (Per se Rule) มาใช้
หากโจทก์ในคดีสามารถพิสูจน์ให้ศาลเห็นว่าการกระทำของจำเลยเข้าตามองค์ประกอบตามกฎหมายแล้วย่อมจะถือว่าจำเลยมีความผิดทันทีโดยมิอาจยกข้ออ้างอื่นใดมาแก้ต่างได้
เช่น คดี International Salt[i] เป็นต้น แต่ในช่วงระยะเวลา 5-10 ปีที่ผ่านมา
หลักที่ใช้ในการตัดสินคดีข้อตกลงพ่วงในศาลของสหรัฐฯมากว่าสิบปีเริ่มมีการสั่นตลอน
ศาลในสหรัฐเริ่มหันมามองผลดีทางเศรษฐกิจมากขึ้น
อย่างไรก็ดีการปรับมุมมองดังกล่าวยังคงจำกัดอยู่เพียงคดีที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีและทรัพย์สินทางปัญญา
(ทั้งนี้การพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีเป็นสิ่งที่สำคัญมากและสร้างรายได้ให้แก่กิจการในสหรัฐอย่างมหาศาลเรื่อยมา)
โดยธรรมชาติของสินค้าเทคโนโลยีนั้นต้องอาศัยการค้นคว้าและพัฒนาซึ่งต้องใช้เงินทุนจำนวนมากและหลังจากประดิษฐ์คิดค้นแล้วจะมีอาจมีการจดสิทธิบัตรหรือได้รับความคุ้มครองอย่างลิขสิทธิ์ในโปรแกรมคอมพิวเตอร์
ซึ่งการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาจะให้สิทธิในการผูกขาดสินค้านั้นๆอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
(Rightful Monopoly) เพื่อเป็นการตอบแทน (Reward) แก่ผู้คิดค้น
กฎหมายให้สิทธิในการเลือกคู่สัญญาและกำหนดเงื่อนไขต่างๆในสัญญาอนุญาตใช้สิทธิได้
แต่ทั้งนี้อยู่บนพื้นฐานที่ไม่ก่อให้เกิดผลร้ายต่อการแข่งขันทางการค้า
(Anti-Competitive Effect) มากจนเกินสมควร
จึงเกิดการขัดแย้งระหว่างการผูกขาดโดยชอบธรรม
กับการต่อต้านการผูกขาดตามกฎหมายการแข่งขันทางการค้า
ในช่วงปี 1990 มีการร้องต่อศาลถึงพฤติกรรมของโกดัก[ii] ในเรื่องการพ่วงสินค้าคือ
เครื่องสำเนาภาพถ่ายและเอกสาร กับการให้บริการซ่อมแซมบำรุงรักษา
โดยวิธีการไม่จำหน่ายอะไหล่ให้แก่บุคคลภายนอกเว้นแต่ลูกค้าที่ต้องการซ่อมเครื่องด้วยตนเอง
(อะไหล่ยี่ห้ออื่นใช้กับโกดัก ไม่ได้เนื่องจากโกดักมีเทคโนโลยีเฉพาะ)
โดยอ้างว่าการซ่อมของผู้ให้บริการอิสระไม่ได้มาตรฐานและจะทำให้โกดักเสียชื่อเสียงของผลิตภัณฑ์
ทำให้ผู้ให้บริการซ่อมแซมอิสระได้รับความเสียหายอย่างมาก
บางรายถึงกับต้องปิดกิจการลง
และสัดส่วนของโกดักในตลาดซ่อมบำรุงเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก
เมื่อศาลได้พิเคราะห์แล้วเห็นว่าการกระทำของโกดักเป็นธุรกรรมพ่วงจริง
ซึ่งตามหลักความรับผิดเด็ดขาด Per se Rule โกดักต้องผิดทันที
แต่ศาลกลับนำข้อต่อสู้ของโกดักมาพิจารณา
แต่ในที่สุดก็พบว่าการให้บริการของผู้ให้บริการอิสระมิได้มีมาตรฐานด้อยกว่าโกดักเลย
จึงตัดสินว่าโกดักกระทำความผิดตามกฎหมาย Antitrust Law
(ต่อต้านการผูกขาด)
จึงเห็นได้ว่าศาลในยุคหลังเริ่มเล็งเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาเทคโนโลยี
และปัญหาความคาบเกี่ยวระหว่างกฎหมายอันจะเป็นอุปสรรคแก่การพัฒนาทางเทคโนโลยีซึ่งเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้จำนวนมากให้แก่สหรัฐฯ
ต่อมาในช่วงปี 2000
แนวความคิดดังกล่าวได้สะท้อนให้เห็นเป็นรูปธรรมมากขึ้นในคดีของ
Microsoft Corp.[iii]
ทั้งยังเป็นการพัฒนาไปอีกขั้นหนึ่งของกฎหมายที่บังคับใช้เกี่ยวกับธุรกรรมพ่วง
กล่าวคือ บริษัทไมโครซอฟท์ ได้ทำการผนวก (Integrate) บราวเซอร์
(Browser) ชื่ออินเตอร์เน็ต เอ็กซ์พลอเรอร์ (Internet Explorer หรือ
IE) เข้ากับระบบปฏิบัติการ (Operating System) วินโดวส์ (Windows)
โดยทำการแชร์ (Share) ไลแบรรีไฟล์ (Library files)
ทำให้ไม่สามารถใช้ระบบปฏิบัติการวินโดวส์ได้หากขาด IE
เมื่อศาลได้พิจารณาแล้วเห็นว่าไมโครซอฟท์กระทำธุรกรรมพ่วงจริง
แต่ศาลก็ยังมิได้ลงโทษไมโครซอฟท์แต่กลับพิจารณาถึงข้อต่อสู้ของไมโครซอฟท์ก่อน
ไมโครซอฟท์ต่อสู้ว่าการกระทำของไมโครซอฟท์เป็นการสร้างความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
เพราะระบบปฏิบัติการและบราวเซอร์จะใช้พื้นที่หน่วยความจำในคอมพิวเตอร์น้อยลง
และสามารถเข้าสู่เว็บไซต์ได้สะดวกยิ่งขึ้น
ศาลจึงทำการชั่งน้ำหนักระหว่างประโยชน์จากการพัฒนาทางเทคโนโลยีดังกล่าวกับผลร้ายต่อการแข่งขันทางการค้าที่อาจเกิดขึ้นว่าข้อดีที่เกิดขึ้นจะคุ้มค่าต่อความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นหรือไม่
ในที่สุดศาลได้ยกทฤษฎีหนึ่งขึ้นมาเรียกว่า Network Effect
(ผู้เขียนเรียกว่าทฤษฎีผลกระทบแบบเครือข่าย)
ทฤษฎีดังกล่าวนั้นแสดงให้เห็นว่า
หากระบบปฏิบัติการใดมีผู้ใช้อย่างแพร่หลายมากกว่าย่อมจะมีอำนาจมากกว่าและมากขึ้นเรื่อยๆในตลาด
เพราะการสื่อสารและการทำงานที่ต้ช่อเนื่องกันจำเป็นต้องใช้ระบบที่เหมือนกัน
เช่น เอกสารที่ทำใน MS Words จะไม่อาจเปิดใช้ใน Mcintosh
ได้เมื่อการค้าขายและการสื่อสารกระจายไปทั้งโลกผู้คนจึงจับกลุ่มใช้ระบบเดียวกันมากขึ้น
เช่น บจก.อเมริกา ใช้ระบบ MS Windows
บจก.ไทยที่ต้องค้าขายด้วยก็จำต้องใช้ Windows ตามเพื่อใช้โปรแกรม
Words และลูกจ้างที่นำงานกลับมาทำที่บ้านก็ต้องใช้ Words ของ MS
Windows ตามไปด้วย บริษัทที่รับสินค้าจากบจก.ไทย ก็จะใช้ตาม
รวมทั้งลูกจ้าง หากลูกจ้าง 2 บริษัทรู้จักกันเพื่อนๆของทั้ง 2
ก็ต้องใช้ MS Windows ตามไปด้วยอีกเรื่อยๆ ดังนี้
ไมโครซอฟท์จึงมีอำนาจในตลาดมาก เมื่อติดตั้ง MS Windows แล้วต้องมี IE
บราวเซอร์ยี่ห้ออื่นเช่น Netscape Navigator จึงไม่อาจเข้าสู่ตลาดของ
MS Windows ได้และตลาดอื่นก็เล็กและอาจเล็กลงเรื่อยๆ
ทำให้ผู้ผลิตบราวเซอร์อื่นถูกบีบอย่างไม่เป็นธรรมจนอาจต้องเลิกกิจการ
เพราะฉะนั้นประโยชน์ที่เกิดจากการผนวก Integrate MS Windows กับ IE
จึงมีไม่คุ้มค่ากับผลเสียและความเสียหายทางธุรกิจที่อาจเกิดขึ้น
บริษัทไมโครซอฟท์ คอร์ป จึงมีการทำธุรกรรมพ่วงที่ผิดกฎหมายจริง
กล่าวโดยสรุปได้ว่าถึงแม้การทำธุรกรรมโดยพ่วงสินค้าเข้าด้วยกันจะเป็นพฤติกรรมที่ทำลายความเสรีทางการค้า
ก่อให้เกิดการผูกขาด และทำลายเศรษฐกิจ
แต่การพ่วงสินค้าเทคโนโลยีเข้าด้วยกันนั้นอาจมีผลก่อให้เกิดการพัฒนาทางเทคโนโลยี
และเป็นการให้รางวัลตอบแทนผู้คิดค้นอย่างเต็มที่เพื่อสร้างเสริมให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อประโยชน์ทางสังคมและเศรษฐกิจ
ดังนั้นในแง่ของการพัฒนาเทคโนโลยี
(ซึ่งผู้เขียนเห็นว่าน่าจะรวมถึงเวชภัณฑ์บางอย่าง)
และเศรษฐกิจการทำธุรกรรมพ่วงอาจเป็นผลดีมากกว่าผลเสียได้เช่นกัน
อีกทั้งผู้เขียนยังมีความเห็นเพิ่มเติมอีกว่ากฎหมายการแข่งขันทางการค้าและกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาควรมุ่งหน้าไปในทางเดียวกัน
คือเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจ ชีวิตความเป็นอยู่ และสังคม
การหาจุดสมดุลระหว่างทั้งสองกฎหมายจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งยวด
และเราควรส่งเสริมการพัฒนากฎหมายการแข่งขันทางการค้าของประเทศไทยให้เข้มแข็งยิ่งขึ้นจนสามารถบังคับใช้ได้จริง
[i] International
Salt Co. v. U.S., 332 U.S. 392 (1947).
[ii] Eastman Kodak
Co. v. Image Technical Services Inc., 504 U.S. 451 (1992).
[iii] U.S. v.
Microsoft Corp., 98 DC Cir. 1232-1233, (2001).
ความเห็น
แวะมาเยี่ยมค่ะ ไม่ค่อยสันทัดเรื่องกฎหมายซักเท่าไหร่ จะพยายามค่ะ
(^๐^)
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID
@gotoknowClassStartระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต