อาสาสมัครสร้างสุขสู่เด็กป่วยศัลยกรรม


การกลัวสิ่งที่เพียงเห็นด้วยตา แต่ยังไม่ได้สัมผัส เราก็จะจมอยู่กับความเพียงแค่เห็นนั้นไปตลอด

       สายฝนโปรยปรายเต็มท้องฟ้ายามกลางวัน ตกกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา ฉันคิดในใจว่าวันนี้อาจจะไม่ได้ไปเป็นอาสาสมัครที่รพ.เด็กแน่ๆเลย เพราะดูท่าว่าฝนจะไม่ยอมหยุดและเบาลงง่ายๆด้วย ฉันกับพี่เก่งเดินกลับขึ้นไปบนออฟฟิศ เพื่อดูสถานการณ์อีกที "เรานัดเค้าแล้วก็ต้องไป จะไม่ไปไม่ได้ เพราะเรานัดเค้าแล้ว มันไม่ดี" คำพูดที่แสดงถึงความรับผิดชอบต่อหน้าที่ที่ทำดังขึ้นหลังจากพี่เก่งขอความคิดเห็น ผู้ที่พี่เก่งขอความคิดเห็นและเป็นเจ้าของคำพูดก็คือ ประธานมูลนิธิของฉันนั่นเอง ฉันกับพี่เก่งจึงเห็นตรงกันว่าเราควรจะไปจริงๆ เพราะนัดกับทางโรงพยาบาลไว้แล้ว อึกทั้งคิดว่าถ้าหากมีเด็กที่เค้าเฝ้ารอการมาของเราล่ะ เค้าจะรู้สึกยังไงถ้าเราไม่มาตามที่นัดไว้ ฉันกับเหล่าอาสาสมัครจึงออกเดินทางเพื่อไปยังโรงพยาบาลเด็กตามที่นัดไว้ตามเดิม
      เมื่อไปถึงก็เข้าไปพบกับพี่ขิ่มก่อนเลย เพราะได้นัดพี่ขิ่มไว้แล้ว เราแจ้งความประสงค์ว่าจะลงพื้นที่พร้อมกันในวันเดียวทั้ง 3 ตึก เพื่อเป็นการกระจายความสุขให้แก่เด็กป่วยตึกอื่นบ้าง ซึ่งหลังจากตกลงกันแล้วว่าใครจะไปตึกไหนบ้าง เราก็เริ่มออกเดินทางไปตามตึกกัน โดยพี่ภากับน้องอีกหนึ่งคนไปประจำอยู่ที่ตึกม 6 ก ตึกเก่าที่ไปเป็นประจำอยู่แล้ว ส่วนฉันกับพี่เก่ง และน้องอีกสามคนเดินตามพี่ขิ่มไปที่ตึกใหม่ ซึ่งพี่ขิ่มพาพวกฉันไปที่ตึกส 5 B ที่เป็นเด็กป่วยด้วยโรคตา หู คอ จมูก พี่ขิ่มพาพวกฉันไปแนะนำกับกับพี่หัวหน้างานวอร์ดนี้ พี่หัวหน้างานบอกพวกฉันว่าช่วงนี้มีเด็กน้อยและส่วนใหญ่เป็นเด็กเล็ก คงยังทำกิจกรรมไม่ได้ จึงยังไม่พร้อมที่จะให้อาสาสมัครมาทำกิจกรรม จากนั้นพี่ขิ่มก็พาพวกฉันไปที่ตึกส 8 B เป็นตึกเด็กป่วยด้วยโรคหัวใจและโรคเลือด ซึ่งได้ทำการติดต่อมาแล้วว่าจะมีอาสาสมัครมาทำกิจกรรม พี่ขิ่มพาเราไปแนะนำกับพี่หัวหน้างานเช่นเคย พี่หัวหน้างานชื่อว่า พี่หน่อย ที่จำได้แม่นยำเพราะพี่หน่อยเป็นคนอัธยาศัยดีมาก เป็นคนอารมณ์ดี ให้การต้อนรับพวกฉันเป็นอย่างดีและยินดีอย่างมากที่มีอาสาสมัครมาทำกิจกรรมที่นี้ พี่หน่อยพูดมาคำหนึ่งที่ฟังแล้วรู้สึกดีมากๆก็คือ ถ้าเป็นกระจกเงา ยินดีต้อนรับเสมอ ฟังแล้วไม่ต้องมีคำบรรยายเลยก็ว่าได้ จากนั้นพี่หน่อยก็พาไปดูห้องสันทนาการ ซึ่งห้องสันทนาการที่นี้จะมีความกว้างขวางและมีความพร้อมในการจัดกิจกรรมพอสมควร ซึ่งพี่เก่งกับน้องอีกหนึ่งคนรับผิดชอบอยู่ที่ตึกนี้จากนั้นพี่ขิ่มก็พาฉันเดินลงไปที่อีกวอร์ดหนึ่ง ซึ่งพี่ขิ่มบอกว่าตึกนี้พี่ขิ่มยังไม่ได้แจ้งให้ทราบว่าจะมีอาสาสมัครมาวันนี้ เลยไม่แน่ใจว่าเค้าจะอนุญาติให้ทำกิจกรรมรึปล่าว คงต้องเสี่ยงเอา ซึ่งตึกนี้เป็นตึกส 7 B เป็นวอร็ดเด็กป่วยที่เป็นเด็กศัลยกรรม อาการค่อนข้างหนัก ความรู้สึกแรกที่ฉันเดินเข้าไป มันเป็นความรู้สึกแบบไม่สู้ดีนัก บรรยากาศดูอึมครึม เคร่งเครียด และเด็กบางคนเพิ่งได้รับการผ่าตัดมาดูแล้วอาการหนัก แถมยังมีเสียงเด็กร้องไห้ โวยวายอยู่เป็นระยะๆ ทำให้ฉันกับน้องอีกสองคนรู้สึกกลัวที่จะเล่นกับเด็ก เพราะกลัวทำเด็กเจ็บ กลัวทำเด็กร้องไห้ และที่สำคัญกลัวว่าผู้ปกครองจะไม่ให้เราไปยุ่งกับเด็กด้วย พี่ขิ่มพาพวกฉันไปแนะนำกับหัวหน้างานประจำวอร์ดเหมือนเดิม พี่หัวหน้างานทำหน้าแปลกใจเล็กน้อยที่ไม่มีการแจ้งมา ฉันคิดว่าคงไม่ได้แน่ แต่กลับผิดคาด พี่หัวหน้างานบอกว่าถ้าทำไหวก็ทำได้เลย ไม่มีปัญหา แต่เด็กบางคนจะมีปัญหาหน่อยตรงที่จะไม่ให้คนแปลกหน้าเข้าใกล้เท่าไหร่ บางคนเอาแต่ใจมาก และเด็กบางคนไม่สามารถพูดกับเราได้ อีกทั้งต้องดูด้วยว่าผู้ปกครองยอมให้เราทำกิจกรรมกับเด็กหรือปล่าวด้วย ฉันฟังข้อชี้แนะจากพี่หัวหน้างานแล้วรู้สึกว่ากำลังใจที่มีอยู่ลดลงไปกว่าครึ่ง แต่พอหันไปเห็นหน้าน้องอีกสองคนที่ดูไม่ค่อยสู้ดีนักและน้องบอกว่ากลัวอีก ฉันจึงรู้สึกว่าไม่ได้ล่ะ ฉันเป็นพี่ต้องเป็นหลักให้น้องจึงต้องสลัดความรู้สึกที่ทำให้กำลังใจถดถอยออกไปให้หมด ไม่งั้นกิจกรรมในวันนี้จะไม่สามารถดำเนินไปได้ พี่ขิ่มหันมาถามฉันว่าไหวมั้ย ฉันรับคำว่าไหวค่ะ สู้ตาย เพราะฉันคิดว่าการเริ่มต้นและความแปลกใหม่ ถือเป็นความท้าทายอย่างหนึ่ง มันทำให้ฉันสามารถพิสูจน์ได้ว่าฉันสามารถเป็นอาสาสมัครได้อย่างเต็มที่หรือเปล่าด้วย หลังจากนั้นพี่ขิ่มก็ขอตัวกลับไป
       ยืนงง ทำอะไรยังไม่ถูกอยู่ท่ามกลางสายตาที่สงสัยจากเด็กและผู้ปกครอง ฉันกับน้องอีกสองคนจึงเริ่มแยกย้ายกันออกไปตามเตียงต่างๆ โดยจะขออนุญาติผู้ปกครองก่อนทำกิจกรรมกับเด็กเป็นอันดับแรก ฉันหันไปเห็นเด็กเตียงแรกซึ่งเป็นเด็กผู้หญิงที่โตพอสมควร ซึ่งมีพี่สาวเฝ้าอยู่ด้วย เค้าส่งยิ้มให้ฉันซึ่งแสดงถึงความเป็นมิตรมาเป็นสิ่งแรก ทำให้ฉันกล้าที่จะเข้าไปพูดคุยด้วย พอฉันเดินเข้าไปที่เตียง น้องก็ยกมือไหว้สวัสดีฉันทันที น้องคนนี้ชื่อว่า น้องพลอย เพิ่งพาตัดไตมา ทำให้ก้มไม่ได้ กินอะไรไม่ได้เลย ฉันเลยเอาภาพไปให้น้องพลอยระบายสี น้องพลอยจะพูดตลอดเวลาว่าหิว ฉันเลยบอกให้น้องพลอยพยายามคิดเรื่องนี้ให้ลองคิดเรื่องอื่นดูจะได้ลืมหิว น้องพลอยยังบอกกับฉันอีกว่าไว้คราวหน้าอยากจะลงไปนั่งทำกิจกรรมข้างล่าง อยู่แต่บนเตียงเบื่อแล้ว น้องพลอยเล่าให้ฟังว่าตั้งแต่มาที่นี่ยังไม่ได้ลงเหยียบพื้นเลย อยากจะลงเดินมาก แต่ว่ายังต้องให้ยาผ่านทางสายอยู่ ซึ่งพยาบาลก็ไม่อนุญาติด้วย การที่ฉันเดินได้ ทุกคนเท้าเหยียบถึงพื้นได้อย่างเต็มที่ดูจะเป็นเรื่องปกติธรรมดา แถมยังไม่อยากจะเดินด้วยซ้ำไป แต่สำหรับน้องพลอยหรือเด็กป่วยหลายๆคนอาจเป็นเรื่องที่ยากและอยากลงสัมผัสถึงพื้นดินมากยิ่งนัก ซึ่งเป็นความต่างของสถานภาพจริงๆ หลังจากน้องพลอยระบายสีภาพเสร็จแล้ว ฉันสังเกตเห็นอาการเหนื่อยของน้องอย่างชัดเจน น้องพลอยบอกว่าเหนื่อยง่ายทำอะไรนานไม่ค่อยได้ มือก็บวมด้วย น้องพลอยยกมือที่สั่นน้อยๆให้ฉันดู ฉันเห็นว่ามีจ้ำแดงๆอยู่ตรงข้อมือคล้ายเป็นผื่น แต่น้องพลอยบอกว่าตรงที่แดงนะ โดนเข็มเจาะมาเยอะจนพรุนไปหมดแล้ว ซึ่งน้องพลอยพูดด้วยสีหน้าแบบเบื่อหน่ายและชินชากับมันไปเสียแล้ว จากนั้นน้องพลอยก็ขอตัวนอนพักผ่อน เพราะรู้สึกเหนื่อย
      จากนั้นฉันก็เดินเข้าไปในห้องแยก ซึ่งตอนแรกนึกว่าจะเป็นเด็กพิเศษหรืออาการหนัก แต่ไม่ใช่เลยในห้องมีแต่เด็กที่ดูสุขภาพร่างกายดีกว่าคนที่อยู่ภายนอกห้องเสียอีก จากการคุยกับเด็กแล้ว เด็กบอกว่าห้องนี้แยกออกมาเพราะเป็นเด็กที่ดูแลตัวเองได้แล้ว และผู้ปกครองสามารถดูแลเด็กได้อย่างเต็มที่ ซึ่งช่วยแบ่งเบาภาระของเจ้าหน้าที่ในการดูแลเด็กลง แต่กลายเป็นภาระกลับตกมาอยู่ที่ผู้ปกครองแทน ในห้องนี้มีเด็กที่ตื่นอยู่สองคน ชื่อน้องอายกับน้องป๊อบ ผู้ปกครองในห้องนี้ก็ให้การต้อนรับฉันเป็นอย่างดี ผู้ปกครองพูดมาคำหนึ่งว่า เชิญจ๊ะ เชิญเลย สวัสดีจ๊ะ ถ้าฟังตามห้าง ร้านอาหารทั่วไปอาจจะฟังดูธรรมดา แต่เมื่อคำเหล่านี้มาอยู่ในสถานที่นี้แล้วมันช่างน่าฟังยิ่งนักและอยากได้ยินบ่อยๆ เด็กในห้องนี้ดูอารมณ์ อาจเพราะอาการไม่หนักเท่าไหร่ ฉันเดินเข้าไปทักทายที่เตียงน้องป๊อบก่อนเตียงแรก น้องยกมือสวัสดีฉันและยิ้มให้ น้องป๊อบดูเป็นเด็กที่กระตือรือร้น สดใส และเข้ากับคนง่าย ฉันชวนน้องป๊อบระบายสีภาพ น้องป๊อบออกอาการสนใจอย่างมาก บอกว่าชอบ แต่ที่ชอบมากกว่าคือการอ่านหนังสือ แม่น้องป๊อบบอกกับฉันว่า น้องป๊อบเป็นเด็กชอบอ่านหนังสือมาก บางทีถ้าหมอสั่งงดอาหารก็จะอ่านหนังสือเพื่อให้ลืมหิว ซึ่งฉันก็ตกลงที่จะหาหนังสือสนุกๆไปให้น้องป๊อบอ่านในคราวหน้า ส่วนน้องอายเตียงข้างๆกันก็จะเป็นเด็กที่ชอบระบายสีภาพมากเช่นกัน ซึ่งเตียงน้องอายจะได้น้องอาสาสมัครอีกคนหนึ่งช่วยดูแลอยู่ ฉันมีโอกาสได้นั่งคุยกับแม่น้องอาย แม่น้องอายบอกกับฉันว่า ดีนะที่มีมาทำอย่างนี้นะ แต่น่าเสียดายไม่น่ามาช้าเลย เพราะน้องอายจะกลับอาทิตย์นี่แล้ว น่าจะมาให้เร็วกว่านี้ ฉันยิ้มรับและบอกถึงเหตุผลกับแม่น้องอาย แม่น้องอายบอกว่ามาหลายครั้งแล้ว โชคดีว่าอยู่ไม่ไกลจากโรงพยาบาลนัก แม่น้องอายบอกว่าถ้ามาคราวหน้าคงไม่นอนแล้ว รู้สึกเบื่อ ถ้าต้องนอนก็จะให้น้องอายนอนคนเดียว ตอนนั้นน้องอายยิ้มเศร้าๆ ฉันคิดว่าแม่น้องอายคงพูดแบบเล่นๆ แต่คำพูดมันก็กระทบต่อความรู้สึกของน้องอายไปเสียแล้ว
      น้องเฟิร์นเด็กหญิงเอาแต่ใจ ฉันเคยคิดไว้ตั้งแต่แรกที่เป็นอาสาสมัครในโรงพยาบาลแล้วว่า อาจจะได้เจอเด็กป่วยที่เอาแต่ใจแน่ๆและคิดไม่ออกว่าจะรับมือยังไงดี แต่ที่ผ่านมาเด็กป่วยที่ฉันได้พบเจอต่างไม่ได้เป็นอย่างที่เคยคิดไว้เลยสักคน จนวันนี้ฉันได้มาเจอกับน้องเฟิร์น ซึ่งตั้งแต่ฉันเดินเข้ามาในวอร์ดน้องเฟิร์นร้องไห้อยู่ตลอดเวลา ข้างเตียงก็ไม่มีผู้ปกครองเฝ้าอยู่ ฉันลองเข้าไปทักทายดู น้องเฟิร์นปัดมือไปมาเป็นเชิงไล่ให้ฉันออกไป ฉันยืนงงอยู่แบบนึง ก็ได้พี่สาวของน้องพลอยซึ่งอยู่เตียงข้างกัน ช่วยบอกรายละเอียดของน้องเฟิร์นให้ฟังว่า น้องเฟิร์นเป็นเด็กเอาแต่ใจ ถ้าเจอคนแปลกหน้าก็จะไม่ค่อยคุยด้วย ไม่ชอบให้ถูกตัว ถ้าแม่อยู่ก็จะชอบร้อง เพราะจะอ้อนแม่ แต่ถ้าแม่ไม่อยู่ก็จะไม่ค่อยร้อง ฉันจึงเดินห่างออกจากน้องเฟิร์นสักพัก เพื่อให้น้องเฟิร์นสังเกตเอาเองว่าพวกฉันมาทำอะไรที่นี่และอยากร่วมกิจกรรมด้วยตัวเอง เป็นผลสำเร็จอย่างที่คาดไว้ น้องเฟิร์นสนใจการระบายสีภาพ เพราะเห็นน้องพลอยระบายและเด็กเตียงอื่นก็ระบายเล่นกันอย่างสนุก น้องเฟิร์นลุกขึ้นมานั่งบนเตียงและหยุดร้องไห้แล้ว ฉันเอาภาพไปให้น้องเฟิร์นลองระบายดู แต่น้องเฟิร์นบอกฉันว่าระบายไม่เป็น ฉันจึงจับมือน้องเฟิร์นระบายสี สักพักน้องเฟิร์นก็เบี่ยงมือออก ประมาณว่าจะระบายเอง แต่พอก้มลงระบายสีก็จะบอกว่ามองไม่เห็น มองไม่เห็นเลย ซึ่งมันทำให้ฉันงงมาก จากการสังเกตฉันเห็นว่าน้องเฟิร์นจะไม่ได้ให้ความสนใจกับการระบายสีภาพเท่าไหร่เพียงแต่เห็นคนอื่นทำเลยอยากทำบ้าง พอเบื่อแล้วก็จะไม่สนใจ และจะพูดตลอดเวลาว่าเมื่อไหร่แม่จะมาสักที ซึ่งตลอดเวลาที่น้องเฟิร์นทำกิจกรรมจะไม่ยิ้มเลย ทำหน้ามุ่ยตลอด เวลาผ่านไปไม่นานน้องเฟิร์นก็จะเริ่มรำคาญและไม่ยอมให้ฉันถูกตัว และบ่นว่าหิว อีกทั้งแม่ก็ยังไม่กลับมา ทำให้น้องเฟิร์นเริ่มหงุดหงิด ปัดข้าวของที่ฉันหยิบให้ ฉันเริ่มทำอะไรไม่ค่อยถูกได้แต่อยู่นิ่งๆ จนน้องอาสาสมัครมาตามให้ไปหาน้องป๊อบ เพราะน้องป๊อบจะนอนแล้ว ฉันจึงขอตัวจากน้องเฟิร์นไป จนถึงเวลาทานข้าวฉันเดินกลับไปหาน้องเฟิร์นอีกตรั้ง น้องเฟิร์นให้ฉันช่วยฉีกไก่ให้ ฉันรู้สึกว่าเค้าเริ่มคุ้นเคยกับฉันขึ้นมาเล็กน้อยแล้วล่ะ พอตอนฉันกลับน้องเฟิร์นก็สวัสดีและยิ้มให้ ถึงแม้ว่าจะเป็นยิ้มที่พี่พยาบาลบอกให้ทำก็ตาม แต่ก็ถือเป็นสิ่งดีเหมือนกัน
      กลับออกจากตึกอย่างเกินเวลาไปสักนิด เพราะเหล่าอาสาสมัครช่วยกันป้อนข้าวเด็กๆอยู่ แต่สำหรับการเริ่มต้นวันนี้ของฉันสำหรับวอร์ดเด็กป่วยใหม่ ถือว่าประสบผลสำเร็จเกินคาด ผู้ปกครองยิ้มแย้มไว้ใจและดูแลเด็กเป็นอย่างดี เจ้าหน้าที่ก็ให้คำแนะนำเกี่ยวกับเด็กแต่ละเตียงๆ เด็กๆก็สนุกกับกิจกรรมและอาสาสมัคร แต่บางกิจกรรมก็ไม่ได้ใช้ เพราะไม่สามารถใช้ได้ ซึ่งก็เป็นการปั้นดินน้ำมัน ก่อนกลับพี่พยาบาลก็ให้บอกกับฉันว่า คราวหน้าอยากให้ดูแลเด็กเตียงไหนเป็นพิเศษบ้าง ซึ่งรู้สึกว่าเจ้าหน้าที่ให้ความไว้วางใจกับอาสาสมัครพอสมควรทีเดียว
หมายเลขบันทึก: 89576เขียนเมื่อ 10 เมษายน 2007 18:34 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 18:08 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท