การเอาตัวรอดของคนเราในสังคมนั้น มีวิธีการและรูปแบบที่แตกต่างกันตามแต่ประสบการณ์ ความรู้ ความชำนาญ ที่มีอยู่ในแต่ละคน และสังคมแวดล้อม ซึ่งเราเรียกรวมๆ ว่า "ทุนของบุคคล" จึงไม่ใช่เรื่องที่แปลกใช่ไหมครับ....
แล้วท่านล่ะเมื่อเกิดภาวะคับขันท่านจะเลือกเอาตัวรอดได้ด้วยวิธีการใด ดังเช่นเมื่อเช้าผมได้มีโอกาสพาคุณอำนวย (Facilitator) ของบริษัทในเครือซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน)ที่มาเข้าค่ายพัฒนาคุณอำนวย ณ มหาชีวาลัยอีสาน อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ ไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่องการสู้ชีวิตของคุณ คุณภาพร หนันดูล เลขที่ 72 หมู่ 9 บ้านยางตาสาด ตำบลสะแก อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์
คุณภาพร เล่าให้ทีมงานฟังว่าเดิมทีเดียวตนเองเป็นครอบครัวที่ยากจน บ้านก็เก่าๆ ที่ดินก็ไม่มี ไม่รู้จะทำอาชีพอะไรดี วันหนึ่งเมื่อประมาณห้าปีที่แล้ว ตนเองได้มีโอกาสเข้าไปซื้อผักที่ตลาดในตัวอำเภอ จึงได้มองหาช่องทางของการทำมาหากิน และได้เหลือบไปเห็นเขาขายพวกพืชผักอยู่ในตลาด จึงคิดว่าเอ๊ะ อาชีพนี้ดูท่าน่าจะเป็นอาชีพที่ดี จึงได้ไปนั่งคิด นอนคิดอยู่หลายวัน จึงได้ตัดสินใจไปเช่าแผงเล็กๆ เพื่อค้าขายพืชผักที่ตลาด
ครั้นแรกของการค้าขายได้ไปรับซื้อพืชผักของคนอื่นเขามา เช่น สลัด ผักชีหอม หอม พริก มะเขือ และมะเขือเทศ เป็นต้น แต่เมื่อมีความช่ำชองในเรื่องของการค้า การขายมากขึ้น จึงพิจารณาต่อว่า เอ...หากว่าตนเองและครอบครัวไปซื้อที่ดินเพื่อไปปลูกพืชผักดังกล่าวขายเองน่าจะได้กำไรมากกว่า จึงได้ตัดสินใจไปซื้อที่ดินจำนวน 6 ไร่ เมื่อ 3 ปีที่แล้ว ซึ่งอยู่ติดกับลำธารที่ชาวบ้านเรียกว่า "กุดกระจวน" มีน้ำสำหรับใช้ในการเกษตรตลอดทั้งปี จึงได้ตัดสินใจปลูกพืชผักหลากหลายชนิด ตามที่ตนเองขาย โดยได้มีการปลูกตามความต้องการของตลาด วางแผนการผลิตอย่างไร? เป็นคำถามที่ทีมเราสงสัยว่าเขาจะปลูกอะไรก่อนหลัง คุณภาพร จึงตอบอย่างชัดเจนครับว่าในการปลูกของตนที่ผ่านมานั้น
"ไม่ได้วางแผนการผลิตเลย" แต่จะพิจารณาจากความต้องการของตลาด แล้วจึงลงมือปลูก นี่แหละครับจึงเป็นที่มาของคำว่า "การบริหารจัดการตัวเองแบบไม่รู้ตัว" ซึ่งทีมงานจึงยกนิ้วให้เลยครับว่า "นี่แหละการวาแผนจัดการอย่างแท้จริง) จากแนวทางการปลูกพืชผักของคุณภาพร นั้นจะเห็นว่าจริงๆ แล้วมีการวางแผนทุกขั้นตอน เพียงแต่ว่ามันเป็นสิ่งที่เขาต้องทำอยู่เป็นประจำจึงมองเป็นเรื่องเล็กน้อยๆ ไม่เห็นความสำคัญ แต่แท้ที่จริงนั้นตนเองได้วางแผนล่วงหน้าในการทำงานอยู่เป็นประจำ ซึ่งมหาชีวาลัยอีสานเรียกว่า "KM ธรรมชาติ" อันจะนำไปสู่ความพอเพียงต่อไปครั้นย้อนกลับมาถามตัวเราเอง ว่าเราได้อะไรจากการไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในครั้งนี้ ก็สามารถฟันธงไปได้เลยครับว่าเกินคุ้มกับเวลาที่เราไป ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นจึงขอเรียนอย่างนี้ครับว่า ทำให้ผมได้เห็นภาพที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้นครับว่าเกษตรกรที่สามารถพึ่งตนเองได้นั้นจะต้องเป็นเกษตรกรที่มีลักษณะดังนี้
1. เป็นเกษตรกรที่มองกาลไกล มีการวางแผนการทำงาน และมีความรู้เกี่ยวกับอาชีพที่ตนเองดำเนินการอยู่อย่างพอเพียง
2. เป็นเกษตรกรที่เป็นทั้งผู้ผลิตและเป็นพ่อค้า หรือแม่ค้า คือมีความสามารถในการขายผลผลิตของตนเองด้วย
3. เป็นเกษตรกรที่สามารถวิเคราะห์ และรู้ศักยภาพของตนเอง
4. เป็นเกษตรกรที่มีพื้นฐานการเป็นคนดีมีน้ำใจ และไม่ข้องเกี่ยวกับอบายมุข
6. การมีคู่ชีวิตที่ดี หมายความว่าการที่มีสามี ภรรยา ที่เข้าใจกัน อันจะส่งผลให้ครอบครัวอบอุ่น โดยเฉพาะครอบครัวใดที่มีภรรยา เป็นช้างเท้าหน้าจะพบว่าครอบครัวนั้นยิ่งจะมีความพอเพียงเร็วยิ่งขึ้น7.มีการตัดสินใจที่เด็ดเดี่ยว บางครั้งในการทำงานนั้นจะต้องมีการตัดสินใจที่เด็ดเดี่ยว หากเราไม่ตัดสินใจก็จะไม่สามารถปรับสถานการณ์ได้ทันกับการดำเนินชีวิต แต่อย่างไรก็ตามในการตัดสินใจนั้นก็จะไปสอดคล้องกับข้อที่ 1
ขอบคุณครับ
อุทัย อันพิมพ์
4 เมษายน 2550
จากไม่รู้ตัวยังดีได้ถึงขนาดนี้ และถ้าทำอย่างรู้ตัวจะดีขนาดไหน การจัดการความรู้คือต้องรู้อย่างรู้ตัวด้วย
แวะมาเยี่ยมครับครูอู๋
ถึงที่หมายแล้วครับ
ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างครับ
ปรีดิ์
ขอบคุณมากครับทุกๆ ท่านที่ให้ข้อเสนอแนะ
เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ที่คนเราทุกคนจะทำอะไรสักอย่างจะต้องรู้ตัว และยิ่งกว่านั้นหากเราสามารถทำให้เกิดขึ้นได้ทุกอริยาบถ เราจะสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เสมือนมีการวางแผนงานอย่างอัตโนมัติ
ขอบคุณครับ
ขอบคุณมากเช่นกันครับคุณปรีดิ์
ขอให้มีความสุขกับการเรียนรู้เรื่อง KM และอย่าลืมพยายามให้เป็นไปอย่างธรรมชาตินะครับ
อู๋
คุณภาพร : กับการนำเสนอที่เด็ดขาด
ขอบคุณทุกๆ ท่านที่เข้ามาเยี่มชม พร้อมให้ข้อเสนอแนะครับ
อู๋
ขอบคุณครับ ได้เรียนรู้และมีแรงบันดาลใจครับ
ว่าแล้วก็อยากจะยืนบนลำแข้งของตัวเองจริงๆ วะที เผื่อจะได้เติบโตเปฯร่มโพธิ์น้อยให้คนอื่นบ้างครับอาจารย์