งานประจำ (เจ)


แต่อย่าให้ "ประจำ" กลายเป็น "จำเจ" ก็แล้วกัน

งานประจำ (เจ)

"วิสฺสาส ปรม ญาติ" ความคุ้นเคยเป็นญาติอย่างยิ่ง หนึ่งในพุทธภาษิตตอนเด็กๆที่ยังหลงเหลืออยู่ในความทรงจำ เป็นญาติกับงานก็น่าจะดี ทำบ่อยๆน่าจะแปลว่าหรือเกี่ยวกับเชี่ยวชาญ ชำนาญ ทำจนเป็น reflex ทำจนเป็น "มนัส" หรือส่วนหนึ่งของ automatic geer หรืออาจจะ "ทำจนไม่ต้องคิด"

ท่านพุทธทาสบอกว่า "การทำงานคือการปฏิบัติธรรม" พี่โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์ ผอ.สำนักวิจัยสังคมและสุขภาพ (เจ้าของเรื่อง / แรงบันดาลใจตัวจริงของ องค์กรมิใช่เครื่องจักร ต้องการความรักและความเข้าใจ (1) และ (2)) เขียนหนังสือชื่อ "งานคือความดี ที่หล่อเลี้ยงชีวิต" และคำว่า "ศีล" ก็แปลว่า "ปกติ"

 Online Etymology Dictionary - Cite This Source
routine  (n.)
1676, from Fr. routine "usual course of action, beaten path" from route "way, path, course" (see route) + subst. suffix -ine. Theatrical sense is from 1926. The adj. is attested from 1817, from the noun.

Online Etymology Dictionary, © 2001 Douglas Harper

Routine ก็มาจาก route ในภาษาฝรั่งเศส ทางเดินที่เดินซ้ำแล้วซ้ำอีก ที่จริงก็ให้ความรู้สึกอะไรหลายๆอย่าง อาทิ อุ่นใจ ปลอดภัย วางใจ คุ้นเคย ไม่ออกนอกลู่นอกทาง คำว่า "ทาง" นี้ก็มีความหมายไม่เลวเลย เพราะทางพุทธศาสนาก็เน้นที่ "มัชฌิมาปฏิปทา" หรือ "ทางสายกลาง" มรรค 8 นั่นเอง

อยู่ในร่องในรอย อยู่ในลู่ ก็ยังคงความหมายที่ดีอยู่ แต่ให้ระวัง "มารในใจ"

ความผิดไม่ได้อยู่ที่ประจำ แต่อย่าให้ "ประจำ" กลายเป็น "จำเจ" ก็แล้วกัน ไม่ทราบว่าใครคิดคำนี้ ช่างคิดต่อเนื่องได้ "เนียน" จริงๆ เพราะจำเจก้มักจะต่อจาก "ประจำ" นี่เอง เขียนเป็นปริศนาบอกให้เราอย่าได้ประมาทเชียว เพราะมัน "ใกล้" กันเหลือเกิน

จิตมนุษย์นั้นน่าสนใจครับ เหมือนอะไรที่พร้อมจะบินตลอดเวลา ไม่เคยอยู่ "นิ่ง" อืม..... บางคนอาจจะนิ่งได้ แต่ ส่วนใหญ่ นั้นไม่ค่อยนิ่ง สมาธิช่วยให้นิ่งได้ แต่ระวัง "นิ่ง" ไม่ใช่เฉื่อยชา แต่เป็นการนิ่งที่รู้ตัวตนตลอดเวลา เป็นการนิ่งแบบมี "สติ" มี awareness อยู่

ถ้าสมองไม่ได้ exercise และปล่อยให้เฉื่อยชา เราก็จะทำงานอย่างซังกะตาย อย่างที่ฝรั่งเรียก 9 to 5 คือทำไปทุกวันๆ ตามกำหนด ตามกรอบ ตามเวลาที่ destine ว่านี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นทุกวันทำงาน

สมองเป็นอะไรที่ต้องได้รับการ "ออกกำลัง" เหมือนกัน และสามารถที่จะ "เพาะกล้าม" ให้สมองได้ด้วย ทุกครั้งที่เรา exercise สมอง ก็เกิด new dendrite หรือแขนงประสาทเชื่อมโยงเซลล์หนึ่งไปหาเซลล์อื่นๆ เป็นระบบเครือข่ายที่ไม่ใช่ linear connection แน่ๆ แต่เป็น web of connection ที่ซับซ้อน อ่อนไหว เปลี่ยนแปร แบบ multidimensional matrix นั้นเลยทีเดียว

สมองที่ไม่ค่อยออกกำลัง อะไรๆก้อาศับโพย อาศัย guideline จะทำให้คน "ไม่จำเป็นต้องคิด" มากกว่าแต่ก่อน ยิ่งพวกที่ไม่ใช่ skill-based แต่เป็น criteria-based หรือ action-based อาจจะพร้อมที่จะ โยงประเด็นโน่นนี่เข้าหากัน ตรงนี้สามารถเป็น ดาบสองคม" ได้แน่ๆ

ผมเคยเขียนไว้ว่าอยากจะตายอย่างมีสติ และอยากจะใช้ ปัญญา ของตนเองประคับประคองการรู้สตินานที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อที่ว่าจะได้ "สังเกต" ความตายอย่างแท้จริง ถ้าเราไม่ได้มี awarness ที่ดี เราจะไม่สามารถทีจะ รู้เท่าทัน อารมณื จิตใจ และอะไรของเราที่จะผลักเข้า หรือหลีกเลี่ยงจากวงสนทนาได้

แน่แนการทำใจเป็นอิสระ ไม่หวั่นไหวต่อการยั่วยุ ความอยาก ความต้องการ จะสามารถเปลี่ยน course of action ได้เสมอ ตรงนี้ก็เป็นทั้งข้อดีและข้อเสีย มากและรุนแรงพอๆกันต่อผลกระทบโดยรวม

 คนเราไม่มีสติแล้วจะเท่าทัน จะช่วยเหลือจิตวิญญาณได้อย่างไร?
คำตอบส่วนหนึ่ง lies down at the person อยู่ทีตัวของคนเรียนเอง ผมพบว่าถ้าจะเตรียม optimal conscousness ในการทำงาน การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอก็จะเป็น basic ที่สำคัญมากๆ

เมื่อประจำกลายเป็น "จำเจ"

ถ้าหากเมื่อไหร่งานประจำกลายเป็นจำเจ "มารเบื่อ" กำลัง lurk อยู่วับๆแวมๆแถวๆหางตาแล้ว

กฤษณมูรติกล่าวว่าแม้แต่ดอกไม้ดอกหนึ่งบาน ตอนเช้า 8 โมง แปดโมงครึ่ง เก้าโมง เก้าโมงครึ่ง แสง เงา กลีบ สี กลิ่น ก็เปลี่ยนไปตลอดเวลา ตัวเราเองก็เปลี่ยนไปตลอดเวลา การเปลี่ยนมักจะเกิดขึ้นอยู่กับ education หรือการศึกษา รู้ตัวบ้าง ไม่รู้ตัวบ้าง หากไม่รู้ตัวก็อาจจะน่าสนใจน้อยลง (ณ ขณะนั้น) ต้องรอเวลาที่ข้อมูลที่จมดิ่งลงก้นมหาสมุทร theta ลอยขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งในอนาคตอันไม่แน่นอน ชาตินี้ หรือชาติหน้า

มีอีกคำนึงซึ่งผมคิดว่าฟังให้ "อารมณ์" ดี คือ "มีชีวิตชีวา" แปลกมากเลย เป็นการเติมสร้อยคำที่ส่งผลต่อความหมายอย่างมหัศจรรย์ (ภาษาไทยมีแบบนี้เยอะนะครับ เช่น ดำ ดำดำ ด๊ำดำ นี่ดำไม่เท่ากัน ดำเฉยๆนี่กลางๆ แต่ ดำดำ นี่ซีดลงมาหน่อย ถ้า ด๊ำดำ นี่ดำปิ๊ดปี๋ทีเดียว) เติม "ชีวา" เข้าไปปุ๊บ หยั่งกับเติม "จิตวิญญาณ" ลงไปให้ชีวิตยังไงหยั่งงั้นเลย

ทุกวันนี้เราอยู่อย่าง "มีชีวิต" หรืออยู่อย่าง "มีชีวิตชีวา" ล่ะครับ? เป็นคำถามที่เอาไว้ถามตนเองนะครับ

งานประจำที่ไม่จำเจ

ตัวเราเปลี่ยนไปทุกๆวินาที มีเซลล์เหลือน้อยมากเลยนะครับที่เป็นของเราเองตอนนี้ที่ยังเป็นเซลล์เดิมตอนที่เราเกิดมา หรือแม้กระทั่งของเมื่อวานนี้ เรา shred เซลล์เก่าๆออกทุกวี่วัน เหลือ brain cells เหลือพวก muscle cells ที่ยังเป็นเซลล์เดิมๆอยู่ ตัวเราแก่ลง พัฒนาขึ้น มีประสบการณ์มากขึ้น (ขึ้นกับใครอยากจะใช้คำไหน เลือกเอาเองนะครับ) เราควรจะรู้สึกอย่างไรกับสิ่งต่างๆรอบตัวเราเอง?

ความรู้สึก เป็นอะไรที่แยกมนุษย์ออกจากหุ่นยนต์ ไม่ว่าหุ่นยนต์จะพัฒนาไปแค่ไหน ก็จะไม่มี sense of feeling เหมือนอย่างที่มนุษย์สามารถจะรู้สึกได้ เป็นสิ่งที่บางทีทำให้มนุษย์ดูเหมือน irrational (คือ คนที่ observe ไม่เข้าใจ.... แต่ไม่ได้แปลว่าไม่มีเหตุผลนะครับ แปลว่าคนสังเกตไม่เข้าใจแค่นั้น) การกระทำที่มาจากแรงผลักมหาศาลจากก้นบึ้งของหัวใจ จากก้นบึ้งแห่งมหาสมุทร delta ของโลกมันมีพลังแห่งธรรมชาติ พลังของอะไรที่ "ควรจะเป็นเช่นนั้น" ผลัก จะเรียกแรงนี้ว่า god หรือ intuition หรือ ปิ๊งแวบ ก็แล้วแต่ แต่สามารถเปลี่ยน course of the world we all know ได้มานับครั้งไม่ถ้วนในประวัติศาสตร์

เมื่อจิตของเราสัมผัสกับพลังต่างๆตามธรรมชาติ ทำให้เรามองเห็นหรือตระหนักรู้ เข้าใจ ถึง "ที่ทางของเรา" ว่าเราอยู่ตรงนี้เพราะอะไร เพื่ออะไร เพื่อใคร เราเป็น cashier เป็นหมอ เป็นคนขายบะหมี่ เพราะอะไร เพื่ออะไร เพื่อใคร มีความหมายที่ส่งผลรุนแรง กว้างไกล งานประจำมันก็จะไม่จำเจอีกต่อไป

หมายเลขบันทึก: 88194เขียนเมื่อ 3 เมษายน 2007 00:43 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 18:02 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)
ขอบคุณที่คุณ Phoenix นำมาเปิดประเด็นไว้ชวนคิด ชวนไตร่ตรองนะคะ ไว้มีเวลามากกว่านี้จะมาต่อยอด เรื่องนี้มองได้หลายมุมมากๆ และเป็นเรื่องธรรมดาที่ไม่ธรรมดากับหลายๆชีวิตค่ะ โดยเฉพาะชีวิตราชการที่เราได้ยินนิยามเช้าชามเย็นชาม (เปรียบได้กับ nine to five ไหมคะ) กันมาจนติดหูติดใจ
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท