เมื่อวานนี้ (26 มีนาคม 2550) ตอนบ่ายโมงป้าเจี๊ยบไปพูดเรื่องแผนการสอนให้บุคลากรสายการสอนของมหาวิทยาลัย (อาจารย์ใหม่) ตามที่มีจดหมายเชิญมาค่ะ ก่อนจะไปก็ถามผู้จัดว่าพูดเรื่องนี้ตามนิยามของป้าเจี๊ยบนะ ถ้าไม่ได้ก็ต้องหาคนอื่นแทน <p class="MsoNormal"> ที่ต้องถามให้แน่ใจก็เพราะป้าเจี๊ยบออกจะเป็นอาจารย์อาวุโสที่ชุมชนสวนสุนันทาเห็นว่าเป็นผู้มีความคิด “นอกคอก” อยู่มาก และบางเรื่องก็คิดไกลล้ำยุค จนเพื่อนๆ บ่นว่าตามไม่ทัน ไม่อยากยุ่งด้วยแล้ว ที่ร้ายก็คือ..ป้าเจี๊ยบไม่เห็นความสำคัญของการเขียนแผนการสอนล่วงหน้าตามที่มหาวิทยาลัยให้อาจารย์ทำค่ะ</p><p class="MsoNormal"> เมื่อเดือนก่อน..ก็มาบอกให้สอนวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเรียนรู้ เอาแบบฟอร์มแผนการสอน วงเล็บว่า Syllabus มาวางให้เติมในช่องว่า จะมีวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมอะไร แต่ละครั้งจะบรรยายทฤษฎีเรื่องอะไร ปฏิบัติเรื่องอะไร ป้าเจี๊ยบก็บอกว่าเอาคืนไปเหอะ สอนแบบถอยหลังย้อนยุคแบบนั้นไม่เป็น </p><p> แถมพูดแรงๆ ไปอีกว่า ถ้าไม่เชื่อว่าป้าเจี๊ยบสามารถจัดการเรียนรู้เรื่องนี้ได้ดีที่สุดก็ไปหาคนอื่นมาสอนแทน แต่สงสัยว่าไม่มีคนสอนแฮะ เพราะยังยืนยันว่าเป็นป้าเจี๊ยบ และบอกว่าไม่ต้องกรอกฟอร์มนั้นก็ได้ </p><p> ป้าเจี๊ยบบอกอาจารย์หนุ่มสาวที่นั่งอยู่ว่าไม่ได้มาบรรยายเรื่องแผนการสอนตามหัวข้อในกำหนดการนะคะ แต่จะมาเล่าให้ฟังว่าตัวเองทำอะไร คิดอย่างไร คนฟังก็ให้ฟังแบบไม่ต้องคาดหวังอะไร ทำใจว่างๆ เหมือนแก้วน้ำเปล่าๆ แล้วก็ไม่มีเอกสารมาแจกเพราะเปลืองกระดาษ สงสารต้นไม้.. </p><p> ป้าเจี๊ยบบอกไปว่าแผนการสอนกับป้าเจี๊ยบ ณ วันนี้ เป็นเรื่องที่ใช้เวลาสั้นๆ เพียงเพื่อกำหนดเฉพาะผลลัพธ์การเรียนรู้ท้ายสุดที่อยากให้เกิดกับนักศึกษาเท่านั้น ซึ่งเปรียบเสมือนธงชัยที่ปักไว้สำหรับเป็นเป้าหมายการเดินทางร่วมกันระหว่างนักศึกษากับป้าเจี๊ยบ</p><p> จะให้มานั่งเขียนแผนการสอนเพื่อแจกนักศึกษาในวันแรก อย่างที่อาจารย์ทั่วไปทำกันนั้น ป้าเจี๊ยบเคยทำค่ะ แต่เดี๋ยวนื้ทำไม่ได้ และไม่ทำ ไม่แจกอีกแล้ว เพราะรู้ว่าสิ่งนั้นไม่มีทางทำได้เลย ถ้าใครต้องการจัดการเรียนรู้ที่เห็นว่านักศึกษาสำคัญ! </p><p> ผู้สอนคนใดที่ยึดผู้เรียนเป็นสำคัญจริงๆ จะรู้ว่า ทุกคาบทุกชั่วโมง มีพลวัตการเรียนรู้ที่รุนแรงมาก และต้องใช้พลังความคิดบวกประสบการณ์มหาศาลในการควบคุมสภาพการณ์ทั้งหมดให้มุ่งไปสู่ธงชัยที่ปักไว้ การสอนที่ดีจริงๆ เป็น Branching และชิ่งไปชิ่งมาแตกหน่อออกไปมากมาย ไม่มีทางเป็น Linear ตรงเป๊ะตามฟอร์มยอดนิยมที่บรรดาอาจารย์มหาวิทยาลัยนิยมเขียน Syllabus เลยแม้แต่นิด </p><p> เมื่อเห็นว่าไม่มีประโยชน์ ป้าเจี๊ยบก็ไม่เสียเวลาอันมีค่ามานั่งเขียนหรอกค่ะ</p><p> ป้าเจี๊ยบกล้าพูดเพราะเคยทำมาแล้ว แบบนั้นน่ะ ละเอียดแม้กระทั่งสัปดาห์ไหนนักศึกษาต้องอ่านอะไร เตรียมวัสดุอุปกรณ์อะไรมาบ้าง ส่งงานวันไหน รวมทั้งมีตารางไว้ให้กรอกคะแนนงานแต่ละชิ้นด้วย และมีความสามารถทำได้ตามแผนการสอนนั้นทุกอย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง (ถามอาจารย์บางคนที่นั่งในห้องก็ได้ เพราะเคยเรียนกับป้าเจี๊ยบมาก่อน)</p><p> ตอนนี้หันกลับไปมองแล้วก็เห็นแต่ว่าทุกอย่างที่ทำนั้น คิดแทนผู้เรียนทั้งหมดแบบอำนาจนิยม สมเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยขนานแท้ทีเดียวเชียวแหละ </p><p> อาจารย์คนหนึ่งเคยบอกว่าทำได้สิ ก็วางแผนการสอนให้มีกิจกรรมที่ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ให้ผู้เรียนเป็นผู้ลงมือทำมากๆ ได้คิดเอง ฯลฯ ป้าเจี๊ยบฟังแล้วนึกไม่ออก เพราะมองยังไงๆ ก็เห็นแต่ภาพท่านอาจารย์กำหนดเองทั้งนั้น.. </p><p> ณ วันนี้ ป้าเจี๊ยบต้องเห็นหน้านักศึกษา ได้ทำความรู้จักพูดคุยกันก่อน จึงจะวางแผนการสอนได้ เพราะต้องให้นักศึกษาช่วยค่ะ ซึ่งตอนที่เริ่มทำอย่างนี้ นักศึกษาก็งงสิคะ เกิดมาไม่เคยมีอาจารย์ทำอย่างนี้สักคน ป้าเจี๊ยบเลยต้องเตรียมแผนการสอน(เรียน)แบบเติมคำในช่องว่างค่ะ เอาให้นักศึกษาดูภาพรวมของวิชาแล้วช่วยกันดูว่าตรงช่องว่างนั้นจะเติมอะไรกันดี </p><p> แต่เดี๋ยวนี้ พกเข้าไปแค่คำอธิบายวิชาตามหลักสูตรค่ะ ป้าเจี๊ยบมีกลยุทธ์ลูกล่อลูกชนมากขึ้น สามารถเชื้อเชิญนักศึกษาให้มีส่วนร่วมในการออกแบบและรับผิดชอบจัดการเรียนรู้ร่วมกันได้มากขึ้น ช่วยกันกำหนดงานที่จะทำ วิธีการประเมินผล ร่วมประเมินผล ฯลฯ นักศึกษาที่รู้จักกิตติศัพท์หรือเคยเรียนกับป้าเจี๊ยบมาก่อน ก็เติบโตทางความคิดและรู้ว่าอาจารย์แบบป้าเจี๊ยบไม่”บรรยาย” หรือ “บอก” เนื้อหาความรู้เหมือนอาจารย์อื่นๆ เท่าที่ผ่านมานักศึกษามีส่วนร่วมจัดการเรียนรู้อย่างน้อยไม่ต่ำกว่าหนึ่งในสามค่ะ บางวิชาก็ป้าเจี๊ยบครึ่งนักศึกษาครึ่ง </p><p> ป้าเจี๊ยบหยอดไปอีกว่า ตัวเองเชื่อว่า “เมื่อใดที่ครูพูดมาก เด็กก็เรียนน้อยค่ะ” ใครจะเป็นแนวร่วมด้วยก็ได้</p><p> ป้าเจี๊ยบทำความเข้าใจกับนักศึกษาทุกครั้งว่าจะไม่สอนแบบ “ยกโหล” คือปฏิบัติต่อนักศึกษาเหมือนๆกัน เพราะนักศึกษาไม่เหมือนกัน แต่ละคนเป็น “หนึ่งเดียว” ป้าเจี๊ยบเคารพความเป็นหนึ่งเดียวของมนุษย์มาก และจะไม่ทำลายลงเด็ดขาด เพราะฉะนั้น ป้าเจี๊ยบจึงไม่จัดเส้นทางเดินให้นักศึกษาไปถึงธงชัยเพียงเส้นทางเดียว นักศึกษาต้องเรียนรู้ด้วยตนเอง ใช้วิธีการของตนเอง ต้องรู้จักเลือกเส้นทางเดินที่ตรงกับจริตของตนเพื่อไปถึงธงชัยของวิชาที่เรียนให้ได้ </p><p> ในการเล่าเรื่องเหล่านี้ ป้าเจี๊ยบยกตัวอย่างการกระทำจริงๆ ในวิชาที่สอนเมื่อภาคเรียนที่แล้ว ซึ่งปรากฏใน learners.in.th เพื่อให้เห็นการเลื่อนไหลของการจัดการเรียนรู้ซึ่งแสดงปรากฏการณ์ของพลวัตที่รุนแรงอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในชุดวิชานวัตกรรมแห่งการเรียนรู้ ซึ่งป้าเจี๊ยบเองก็ไม่คาดคิดว่าจะได้ผลดีมากถึงขนาดนั้น เพราะไม่ได้วางแผนการสอนแบบเส้นตรงในกระดาษ หากแต่ go with the flow และสร้างบทเรียนจากเหตุการณ์ที่เป็นปัจจุบัน </p><p> ป้าเจี๊ยบใช้เวลาพูดคุยพร้อมเปิดบล็อกวิชาต่างๆ ประกอบไปด้วยโดยใช้เวลาทั้งหมดชั่วโมงครึ่ง บอกว่าใครสนใจจริงต้องไปตามอ่านและศึกษาเองใน learners.in.th เพราะไม่มีทางที่จะเล่าเรื่องที่ทำมาทั้งเทอมได้ในเวลาที่กำหนด </p><p> ก่อนเลิกได้ถามว่า เรื่องที่พูดมานี้พอจะจุดประกายให้มีการสร้างสรรค์อะไรดีๆต่อไปให้กับใครบ้าง ช่วยยกมือหน่อย ก็มีผู้ยกมือ 4-5 รายค่ะ ดีใจมาก เพราะเรื่องนอกกรอบแบบนี้หวังไว้แค่ 1-2 คนก็มากแล้ว </p><p> นี่คือโฉมหน้าบรรดาอาจารย์หนุ่มสาวที่มานั่งฟังค่ะ คาดว่าบางคนจะมาเป็นสมาชิกใหม่ของ Gotoknow หรือ Learners.in.th ด้วย</p>
โอ๊ย....ดีใจจังค่ะที่ได้เจออาจารย์แบบที่ฝันไว้ ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะได้พบจริงๆ แถมยังเปิดบล็อกเล่าได้ละเอียดละออ ไม่ต้องกลัวเลยว่าความรู้ความคิดที่ดีๆของป้าเจี๊ยบจะหายไปไหน ขอบคุณป้าเจี๊ยบมากมายที่สุดเลยนะคะสำหรับบันทึกนี้ รู้สึกรัก GotoKnow มากขึ้นไปอีกที่ได้นำคนดีๆมีคุณภาพมาให้เราได้พบเห็น และเป็นตัวอย่างให้คนรุ่นใหม่ๆมีพลังในการสร้างสรรค์อะไรใหม่ๆที่มันแหกกฎเก่าๆทั้งหลายในการเรียนการสอน วันนี้จะตามอ่านบันทึกในบล็อกต่างๆของป้าเจี๊ยบให้หมดเลยค่ะ
อ่านบันทึกนี้และดูรูปป้าเจี๊ยบแล้ว ถ้าพบตัวจริงเมื่อไหร่ต้องขอกอดสักทีได้ไหมคะนี่ ประทับใจหลายอย่างค่ะ
ขอโทษอย่างแรงนะป้า .. ผิดนี้ใหญ่หลวงนัก !
อ่านเมื่อครั้งที่แล้วก็ทุกตัวอักษรด้วยความประทับใจ มาอ่านซ้ำอีกทีก็ยังคงรู้สึกเหมือนเดิม อยากให้ระบบเปลี่ยนไปเป็นแบบที่พี่เจี๊ยบคิดจังเลยค่ะ วันนี้ดูรายการจุดเปลี่ยน ที่พูดถึงเรื่องครู สงสารคุณครูที่วิธีการที่จะก้าวหน้าได้นั้นกลายเป็นต้องทำอะไรต่างหากที่แย่งเวลาของการเอาใจใส่นักเรียนมาด้วยซ้ำจึงจะก้าวหน้า แทนที่คนวัดผลและให้เลื่อนขั้นจะไปตามดูเอาว่าผลที่เกิดกับนักเรียนเป็นยังไง เพราะคนเป็นครูจริงๆนั้นเป็นกัน 24 ชั่วโมงตามให้คะแนนเลื่อนขั้นเลื่อนระดับง่ายจะตาย แต่ที่เห็นๆก็คือครูดีๆก็จมอยู่กับที่เพราะมัวแต่ดูแลนักเรียน เฮ้อ...น่าสงสารทั้งครูและเด็กไทยจริงๆค่ะ
ผมขอสนับสนุนความคิดของท่านและแนวร่วมความคิดนี้ให้แพร่หลายและเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางโดยเร็วนะครับ (เผื่อมีโอกาสปฏิวัติการจัดการโครงสร้างการบริหารงาน คน และการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนและการประเมินผลโดยรวมทุกระดับ)
ผมมีความคิดเห็นแย้งต้งแต่แรกบรรจุเป็นครูแล้วล่ะครับเรื่องต้องบันทึกการสอนโดยละเอียดและต้องโดยอนุมัติของท่าน ผอ.ล่วงหน้าก่อนนะครับจึงจะนำไปสอนได้น่ะ
ไม่รู้อะไรจะวางกรอบดักและคาดว่าต้องได้ผลตามที่คาดการณ์ไว้ตามแผนนั้น (มีเฉพาะหลักสูตร แนวการจัดกิจกรรม และแนวทางการประเมินที่หลากหลายตามที่ผู้สอนและผู้เรียนจะได้ตกลงกันไว้ก็น่าจะประหยัดทั้งเวลาและทรัพยากรอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องได้อย่างมากแล้ว)เพราะนี่คือ เรากำลังจะพัฒนาให้เต็มตามศักยภาพและความแตกต่างระหว่างบุคคลครับ ให้ศิษย์ของเราได้เรียน ได้รู้ ได้รับประสบการณ์ที่ดีมีประโยชน์นำไปใช้ประกอบอาชีพและใช้ในการดำรงชีวิตได้อย่างมีความสุข เผื่อแผ่และเอื้ออาทรต่อเพื่อนร่วมโลกและใส่ใจสิ่งแวดล้อมที่ดีอย่างยั่งยืนสืบไปจะดีกว่านะครับ จึงไม่สมควรเขียนแผนอย่างตีกรอบยกโหลทั้งหมดเลย
สาธุ...ขอให้ความคิดนอกกรอบเหล่านี้ถึงคณะปฏิรูปการเรียนรู้ของผู้สอนผู้เรียนตลอดจนผู้มีอำนาจที่เกี่ยวข้องด้วยเถิด จะได้จำกัดการใช้ทรัพยากรทั้งเวลาและกระดาษที่สิ้นเปลืองอย่างมากมายตามเกณฑ์ประเมินที่คุณครูจำต้องสร้างต้องเก็บไว้อ้างอิงจนเหลือ เวลา อบรมบ่มเพาะอุปนิสัยใจคอให้ศิษย์เป็นคนดี คนเก่ง น้อยลงไปเรื่อย ๆ ตามเกณฑ์การประเมินที่ตีกรอบตัวบ่งชี้อย่างเข้มงวดที่เห็น ๆ กันในแวดวงครูของเรา ขอบคุณมากนะครับที่พบว่าผมก็ไม่ได้คิดแนวนี้อยู่อย่างเดียวดาย
อ่านแล้ว เป็นวิธีที่ถูกแล้ว ครับ
สวัสดีค่ะอาจารย์ที่เคารพ
ฉันชื่อนางสาววิภาดา แซ่เลี่ยง เป็นนักเรียนทุนภาษาจีนรุ่นที่ ๒ กลุ่มอาจารย์บุญเที่ยง
รับหนูไว้เป็นศิษย์ด้วยนะคะ
ขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ