เช้าวันที่ ๑๙ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐ ภรรยาของข้าพเจ้าตื่นขึ้นมาตอนเช้า ก็ทำงานบ้านตามปกติ เปิดประตูด้านข้างออกไปเพื่อรดน้ำสวนหย่อมใกล้บ้านดังเช่นทุกวัน แต่ตอนช่วงเวลาประมาณ ๘ โมงเช้าข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียงแปลกประหลาดที่เปล่งออกมาอย่างดังและรัวผิดปกติจากภรรยาข้าพเจ้า อยู่บริเวณหน้าหิ้งที่วางฉากรูปพระองค์ท่านท้าวจตุคามรามเทพ ข้าพเจ้ารีบออกไปยืนบริเวณใกล้ ๆ กับภรรยาข้าพเจ้าซึ่งกำลังเปล่งเสียงแปลก ๆ นั้นอยู่ตลอดเวลา สักครู่หนึ่งก็ไปยืนตรงบริเวณประตูซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กันหันไปทางพระอาทิตย์ที่กำลังส่องลงมา ข้าพเจ้ามองตามขึ้นไปก็ต้องรีบปิดตาทันทีเพราะไม่สามารถจะดูด้วยตาเปล่าได้รู้สึกหน้ามืดจนมองอะไรแทบไม่เห็น แต่ภรรยาของข้าพเจ้ากลับเพ่งมองไปที่พระอาทิตย์จนแทบไม่กระพริบตา พร้อมทั้งยกมือขึ้นวนเป็นวงกลมพร้อมทั้งกล่าวภาษาแปลก ๆ ออกมาด้วยเสียงที่ดังขึ้นทุกที ข้าพเจ้าสังเกตที่ตัวภรรยาของข้าพเจ้าทั้งบริเวณขาและมือมีลักษณะขนลุกชันทีเดียว ภรรยาข้าพเจ้าก็ทำลักษณะนั้นอยู่พักหนึ่งและก็หันกลับมาทางบนหิ้งที่วางรูปพระองค์ท่านท้าวจตุคามรามเทพ พร้อมกับเปล่งสียงไปเรื่อย ๆ ข้าพเจ้างุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปพอสมควรเพราะภรรยาของข้าพเจ้าที่เคยเป็นมาก่อนหน้านี้ก็ไม่เปล่งเสียงออกมาเป็นภาษาแปลก ๆ นานขนาดนี้ สักพักภรรยาของข้าพเจ้าก็สามารถพูกกับข้าพเจ้าได้บอกว่าพระอาทิตย์สวยมากเป็นวงแหวนสีแดงอยู่รอบ ๆ ข้าพเจ้าเงยหน้าขึ้นไปมองอีกก็ต้องหลบสายตาอีกเหมือนเดิมเพราะไม่สามารถที่จะดูได้มันแสบตามาก สักครู่หนึ่งภรรยาของข้าพเจ้าก็บอกว่าเปลี่ยนเป็นสีม่วงน้ำเงินแล้ว ภารกิจของบางคนนั้นจะต้องทำพร้อมกันตอนนี้ ภรรยาของข้าพเจ้าให้ติดต่อไปที่คุณอภิสิทธิ์ วิทรโถง ผู้ที่ทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลมหาราช เมื่อภรรยาของข้าพเจ้าสามารถติดต่อกับคุณอภิสิทธิ์ได้ก็พูดเป็นภาษาแปลก ๆ ไปทางโทรศัพท์สักพักหนึ่งก็วางสายไป และบอกให้ข้าพเจ้าติดต่อกับอาจารย์สมพร ช่วยอารีย์ อาจารย์จากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ที่ไปศึกษาอยู่ที่ประเทศเยอรมัน เพราะเคยติดต่อกันทางอินเตอร์เน็ทโดยบังเอิญและบอกว่าตนเองก็เคยมีประสบการณ์เรื่องดังกล่าวอยู่บ้าง และกำลังค้นคว้าหาความรู้ในเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน และสามารถสื่อสารกับภรรยาข้าพเจ้าได้หลายเรื่องทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ข้าพเจ้าก็ได้เปิดคอมพิวเตอร์ต่ออินเตอร์เน็ท ใช้โปรแกรมติดต่อสื่อสารกับทางอาจารย์สมพร ทางอาจารย์สมพรก็โทรกลับมาจากเยอรมัน และพูดคุยกับภรรยาของข้าพเจ้าเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อข้าพเจ้าได้ทำการเปิดเว็บไซท์เพื่อดูข่าวสารจากอินเตอร์เน็ทก็พบว่าวันที่ ๑๙ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐ ก็คือวันที่จะเกิดสุริยุปราคานั่นเองก็ทำให้ข้าพเจ้าแปลกใจเหมือนกันเพราะทั้งข้าพเจ้าและภรรยาก็ไม่ทราบเรื่องนี้มาก่อน ข้าพเจ้าก็มีความสนใจในแนวทางแห่งความเชื่อทางโหราศาสตร์ขึ้นมาเหมือนกันว่า พระอาทิตย์และการเกิดสุริยุปราคามันเกี่ยวเนื่องกับตำนานที่นอกเหนือจากเหตุการณ์การเกิดเงาของแนวระนาบระหว่างโลก ดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์ตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ แล้วยังมืเรื่องราวอื่น ๆ ที่เป็นความเชื่อและตำนานหรือไม่ก็ได้ทราบว่า ตามตำนานและความเชื่อที่มีมาตั้งแต่อดีตก็คือมีความเชื่อว่านี่คือเหตุการณ์ที่เรียกว่า ราหูอมพระอาทิตย์ ซึ่งก็เป็นที่สงสัยของข้าพเจ้าอย่างมากว่า พระองค์ท่านท้าวจตุคามรามเทพ น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับพระอาทิตย์และเหตุการณ์ ราหูอมพระอาทิตย์นี้ ถ้าดูจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาของข้าพเจ้าเมื่อไปค้นคว้าจากสมาคมดาราศาสตร์ไทย ปรากฏการณ์ที่เป็นรายละเอียดทางวิทยาศาสตร์ ในการเกิดเหตุการณ์ของวันที่ ๑๙ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐ มีรายละเอียดดังนี้“สุริยุปราคามีโอกาสเกิดขึ้นได้ในวันเดือนดับเมื่อดวงจันทร์โคจรมาอยู่ตรงกลางระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์พร้อมกับทอดเงาตกลงบนพื้นผิวโลก เงาดวงจันทร์มีสองส่วนคือเงามืดกับเงามัว คนบนพื้นโลกส่วนที่อยู่ใต้เงามัวจะมองเห็นดวงอาทิตย์แหว่ง แต่หากอยู่ใต้เงามืดจะเห็นดวงอาทิตย์ถูกดวงจันทร์บังมิดดวงเรียกว่าสุริยุปราคาเต็มดวง สำหรับประเทศไทยเคยเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงล่าสุดเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2538 สุริยุปราคาที่จะเกิดในวันที่ 19 มีนาคม เป็นสุริยุปราคาบางส่วน หมายความว่าเงามืดของดวงจันทร์ไม่ได้ตกกระทบพื้นผิวโลก คงมีแต่เงามัวเท่านั้นที่พาดผ่านผิวโลก หากมองในภาพกว้างสุริยุปราคาครั้งนี้เริ่มต้นเวลา 7.38 น. ตามเวลาประเทศไทย เมื่อเงามัวของดวงจันทร์เริ่มแตะผิวโลกบริเวณนอกชายฝั่งด้านตะวันออกของอินเดีย จากนั้นเกิดสุริยุปราคามองเห็นดวงอาทิตย์แหว่งมากที่สุด (88%) ที่รัสเซียในเวลา 9.32 น. แล้วไปสิ้นสุดสุริยุปราคาในเวลา 11.25 น. อันเป็นจังหวะที่เงามัวหลุดออกจากผิวโลกในทะเลนอกชายฝั่งด้านทิศเหนือของอะแลสกาสำหรับประเทศไทย สุริยุปราคาบางส่วนครั้งนี้มองเห็นได้เกือบทั่วประเทศยกเว้นจังหวัดชายแดนภาคใต้ บริเวณที่เห็นดวงอาทิตย์แหว่งมากที่สุดคือด้านตะวันตกเฉียงเหนือของภาคเหนือ ยิ่งอยู่ในละติจูดสูงมากเท่าใดก็ยิ่งเห็นดวงอาทิตย์แหว่งมากเท่านั้น ส่วนเวลาที่เกิดปรากฏการณ์ก็จะแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ เช่น กรุงเทพฯ เห็นตั้งแต่เวลา 7.47 - 8.57 น. ดวงอาทิตย์แหว่งมากที่สุดในเวลา 8.21 น. ด้วยสัดส่วน 16% จังหวัดอื่น ๆ บางจังหวัดสามารถดูได้จากตาราง ส่วนจังหวัดที่ไม่แสดงในตารางอาจคาดคะเนได้จากข้อมูลของจังหวัดใกล้เคียงที่อยู่ในภูมิภาคเดียวกัน ”
สถานที่ |
เริ่มเกิด | บังลึกที่สุด | สิ้นสุด | ||
เวลา | สัดส่วนที่บัง | มุมเงย | |||
กรุงเทพฯ | 7.48 น. | 8.21 น. | 16% | 28° | 8.57 น. |
นครศรีธรรมราช |
7.56 น. | 8.13 น. | 4% | 26° | 8.31 น. |
เมื่อดูจากหลักฐานจากสมาคมดาราศาสตร์ไทยก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่ภรรยาของข้าพเจ้า ซึ่งมองดูจากจังหวัดนครศรีธรรมราชในเวลา ประมาณ ๘ โมงเช้าซึ่งก็ตรงกับที่มีช่วงเวลาที่เกิดสุริยุปราคาที่สามารถมองเห็นจากจังหวัดนครศรีธรรมราช ตั้งแต่เวลา ๗.๕๖ – ๘.๓๑ นาฬิกา แต่แปลกที่พระองค์ท่านท้าวจตุคามรามเทพให้ภรรยาข้าได้เห็นด้วยตาเปล่า แต่ข้าพเจ้าไม่สามารถมองเห็นได้ ภรรยาข้าพเจ้าบอกว่าเห็นได้แจ่มชัดมาก และไม่เกิดอาการหน้ามืดแต่อย่างใดทั้งสิ้นทั้งที่ปกติก็ไม่สามารถจะดูไปทางพระอาทิตย์ได้เหมือนข้าพเจ้าในเวลาปกติ ภรรยาของข้าพเจ้าบอกว่าต้องช่วยกัน และพระองค์ท่านท้าวจตุคามรามเทพได้แสดงปาฏิหาริย์ให้เห็นแล้ว แต่ข้าพเจ้าก็ยังคิดไปถึงความเกี่ยวข้องของพระองค์ท่านท้าวจตุคามรามเทพ กับเหตุการณ์ ราหูอมพระอาทิตย์ รวมถึงความเกี่ยวเนื่องของบุคคล ๓ ท่านก็คือภรรยาของข้าพเจ้า คุณอภิสิทธิ์ วิทรโถง และอาจารย์สมพร ช่วยอารีย์ ว่ามีความเกี่ยวข้องเกี่ยวเนื่องกันอย่างไร ทำเหตุการณ์นี้ถึงได้มีการสื่อสารกันระหว่าง ๓ คนนี้ขึ้นจากภรรยาของข้าพเจ้า และแต่ละคนก็บอกว่า ตอนที่จะติดต่อไปนั้นมีความรู้สึกแปลกประหลาดกันทุกคน หรือนี่คือมิติแห่งความเร้นลับ ที่นักวิทยาศาสตร์อย่างข้าพเจ้าไม่สามารถเข้าไปรับรู้ด้วยได้
ภรรยาท่านคงจะจบเอกไสยศาสตร์กระมัง
สิ่งที่เกิดนั้นเกิดจริง แต่ผู้รู้ว่าเกิดไม่จริง
ถ้ามีเอกไสยศาสตร์ ผมจะไปเรียนด้วยครับ เสียดายที่ไม่มีสาขานี้ให้เรียน ผมจบเอกวิทยาศาสตร์ จะได้ไปต่อครับ แหม เสียด้าย เสียดาย