ตอบคำถามเรื่อง KM ที่อาจจะเป็นประโยชน์...


KM ไม่ใช่ “ยาวิเศษ” ที่เมื่อใช้แล้วทุกคนจะ “กระตือรือร้น” จะแย่งกันทำงาน

          Comment เชิง คำถาม ของ คุณ Kmbabe เมื่อ ศ. 16 มี.ค. 2550 เขียนไว้น่าสนใจมากครับ เขียนไว้ว่า....

ผมได้ลองนำ KM ไปใช้ดู โดยใช้ในกลุ่มคนทำห้องสมุด เพื่อนำไปพัฒนาห้องสมุดในโรงพยาบาล ผมได้เลือกคนที่มีใจรักการอ่าน รักในหนังสือมาเป็นสมาชิก แล้วก็ได้นำ KM แบบที่อาจารย์ได้บรรยายให้ผมฟัง....เล่าให้สมาชิกในกลุ่มห้องสมุดฟังว่า KM เป็นยังไง ผมได้เล่าถึงประสบการณ์สมัยยังเรียนที่เป็นสมาชิกชมรมกีฬา ทุกคนอยู่กันอย่างพี่น้อง งานในห้องช่วยกันทำ อยู่กันอย่างมีความสุข ผมอยากให้กลุ่มคนทำห้องสมุดเป็นอย่างที่ผมได้เคยประสบมา
จากนั้นผมก็ให้สมาชิกแต่ละคนเล่าประสบการณ์ว่าเคยมีหรือเคยเป็นสมาชิกอะไรบ้างไหม ที่ทำให้รู้สึกแบบนี้ ไหนมา share ให้ฟังหน่อย ลำดับถัดไปก็ให้สมาชิกแต่ละคนช่วยกันกำหนด vision ของห้องสมุดเราว่าอยากให้เป็นแบบใด มาช่วยกันกำหนดปัจจัยที่ทำให้ได้ตาม vision ที่เราต้องการ สรุปออกมาได้ 4 ข้อ คือ: 1. สิ่งแวดล้อม 2. ระบบจัดเก็บหนังสือ 3. ระบบยืมหนังสือ 4. ต้องมีหนังสือน่าสนใจ มีการรับหนังสือใหม่ๆเข้ามา
พอมาถึงจุดนี้ เรามาดูกันทีละข้อว่าแต่ละปัจจัยเราจะพัฒนาอะไรก่อนอะไรหลัง ทำอะไรได้บ้าง แต่ละคนมีความคิดว่าจะทำอย่างไร.... จุดเปลี่ยนมันมาอยู่ที่งานแต่ละงานที่ต้องทำล้วนต้องใช้เวลา มันกลายเป็นงานใช้แรงงานละ ยกตัวอย่างเช่น ต้องมาคีย์รายชื่อหนังสือ ผู้แต่ง ทุกเล่มลง computer (หนังสือไม่เยอะมาก แต่ก็ไม่ต่ำกว่า 100 เล่ม) ต้องมาทำกระดาษยืมแปะหลังหนังสือทุกเล่ม...และอื่นๆ
ผมอยากถามว่าจะทำเช่นไรให้ทุกคนไม่เอาแต่คิด ไม่เอาแต่ออกความเห็น พอถึงเวลาทำก็ไม่มีใครอยากรับเป็นเจ้าภาพไปทำ จะแก้ไขอย่างไรครับ?
ป.ล. สิ่งที่เล่ามาทั้งหมด ยังไม่ได้นำไปปฎิบัติจริงเพียงแต่จินตนาการขึ้นมาจากประสบการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในบริบทอื่น (เช่น การเขียน unit profile ทุกคนมีความคิด พอถึงเวลาเขียนไม่มีใครอยากเขียน, งานจัดบอร์ด ทุกคนมีความคิดเรื่องบอร์ด ถึงเวลาไม่มีใครอยากเป็นคนจัด)....

ผมจะลองตอบแบบสั้นๆ ดังนี้ครับ:

          การแชร์ความรู้ที่ผมพูดถึงไม่ใช่การ ระดมความคิด แต่เป็นการแชร์ “Tacit Knowledge” เป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เทคนิคเฉพาะตัว ของแต่ละท่านว่ามีวิธีการ/เทคนิคในการทำงานเรื่องนั้นๆ อย่างไร ทำให้ได้วิธีการ/เทคนิคที่แปลกใหม่จะได้เอาไป ลองใช้ ได้ เรียกได้ว่าเป็นการ เรียนลัด คือแทนที่จะต้อง  ลองผิดลองถูก (trial and error)” ด้วยตัวเอง ก็เรียนจากคนอื่นได้เลย

           แต่ต้องยอมรับนะครับว่า KM ไม่ใช่ ยาวิเศษ ที่เมื่อใช้แล้วทุกคนจะ กระตือรือร้น จะแย่งกันทำงาน แย่งกันเป็น เจ้าภาพ ทำสิ่งต่างๆ ให้ลุล่วงไป...KM ที่ใช้กันส่วนใหญ่เป็น เครื่องมือ ที่ เสริมพลัง ทางด้านความรู้ให้กับผู้ปฏิบัติงาน ส่วนประเด็นที่ว่าเขาจะทำหรือไม่นั้น ต้องไปเกี่ยวพันกับเรื่อง หน้าที่ความรับผิดชอบ ตำแหน่งและภาระงาน นอกจากนั้นก็คงเป็นประเด็นเรื่อง ใจ และ ปัจจัย อย่างที่ผมพูดไว้ในเวที HA Forum นั้นแหละครับ

          ขอบคุณ คุณKMbabe ที่ถามคำถามนี้ เป็นคำถามที่ดีและน่าจะเป็นประโยชน์กับหลายๆ ที่ครับ

คำสำคัญ (Tags): #km
หมายเลขบันทึก: 85049เขียนเมื่อ 19 มีนาคม 2007 16:42 น. ()แก้ไขเมื่อ 20 มิถุนายน 2012 15:41 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)
น่าสนใจดีนะค่ะ นำไปใช้ในห้องสมุดโรงพยาบาล เพราะว่า จริงๆแล้วห้องสมุดโรงพยาบาลน้อยที่มากที่จะนำKM ไปใช้ในงาน  เขียนอีกเยอะๆนะคะ อยากได้ข้อมูลเพิ่มค่ะ
อาจารย์อธิบายชัดเจนมากค่ะ   ขอแสดงความเห็นเสริมอาจารย์ว่างานจะสำเร็จเกิดจากหลายปัจจัยซึ่งขึ้นกับผู้บริหารจะต้องเลือกใช้เครื่องมือให้เป็นค่ะ    บางครั้งต้องปรับ เปลี่ยน ปลด   ถ้าไม่ได้ก็ต้องปลงค่ะ (หลวงพ่อจรัญสอนไว้ค่ะ  )

"..ปรับ ..เปลี่ยน ..ปลด ..ปลง" เป็นคำแนะนำที่ดีมากเลยครับอาจารย์ ...ติดใจตรงคำว่า "ปลง" นี่แหละครับ เพราะหลายคนมักใช้คำนี้ในทำนองที่ "ไร้พลัง" คล้ายๆ กับคำว่า "ปล่อยวาง"  ที่หลายคนนึกว่าหมายถึงการ "ไม่ต้องทำอะไร" ซึ่งผม "คิด (อาจจะผิดก็ได้)" ว่าผู้ที่จะปล่อยวางได้ ปลงได้ หรือวางอุเบกขาได้นั้น จะต้องเป็นผู้ที่มีสติว่องไวเป็นอย่างยิ่ง

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท