ผมเล่าไปแล้วว่าผมเป้นใครอะไรอย่างไรในบันทึกก่อนหน้านี้ http://gotoknow.org/blog/TaiSilk/81437
ช่วงหลังนี้ผมสังเกตได้ว่าช่างทอผ้าหลายคนที่มีฝีมือในการทอผ้าสามารถมีรายได้ส่วนหนึ่งในการจุนเจือค่าใช้จ่ายในครอบครัว มีเงินส่งลูกเรียน(ผมเป็นตัวอย่าง) ไม่ต้องไปขายแรงงานต่างถิ่น ไม่ต้องทิ้งครอบครัวมีเวลาดูแลคนในครอบครัว และมีคุณภาพชีวิตที่ดีโดยเฉพาะจิตใจที่สงบสุขตามวิถีบ้านนา
นั้นแสดงว่าอาชีพเสริมด้านการทอผ้าของแม่หญิงอีสานที่มีฝีมือนั้นดูจะเป็นอาชีพเสริมที่เข้ากับวิถีอีสานได้ดีคือใช้ทุนทางวัฒนธรรมมาพัฒนาเศรษฐกิจระดับชุมชน
ในขณะที่แม่หญิงวัยคนกลางจนถึงผู้สูงวัยทำงานทอผ้าและมีรายได้จุนเจือครอบครัว ตรงกันข้ามกับภาพนั้นในชนบทเราจะพบหญิงสาวจนถึงเด็กสาวกลับใช้วันเวลาในยามว่างเสียไปกับการทำกิจกรรมที่ต้องเสียเงินเช่นเฝ้าทีวี โทรศัพท์ ขับรถเล่น ช้อปปิ้งในตลาด เหตุผลส่วนหนึ่งคือปิดเทอม พักผ่อน ไม่มีงานทำ รอเรียนต่อ
อีกมุมหนึ่งหญิงสาวหลายคนเหล่านี้ก็กระเสือกกระสนไปขายแรงงานต่างถิ่น ไม่ได้เรียนหนังสือ กลับมาพร้อมปัญหาหลายอย่างและติดกับแนวแห่งบริโภคนิยมสุดขั่วลืมวิถีงาม ๆของบ้านนอกบ้านนา
ผมมานั่งคิดภาพสองภาพที่เล่ามาและคุยกับช่างทอของผมว่าเราน่าจะมีมีงานเล็ก ๆ ให้เด็กสาวเหล่านั้นทำ และงานหนึ่งที่พวกเราถนัดคือการทอผ้า ดังนั้นผมจึงคิดจะเดินหน้าทำโรงเรียนช่างทอของผมเพื่อสอนเด็กสาวเหล่านั้นในการพัฒนาทักษะด้านการทอผ้าเพื่อเป็นอาชีพเสริมรายได้
เชื่อไหมครับว่าเด็กสาวรุ่นอายุต่ำกว่าสามสิบลงมา ทอผ้าไม่เป็นเลย แนวคิดเบื้องต้นที่จะทำโรงเรียน ผมได้มาจากข้อเสนอของพี่หน่อย(ดอกแก้ว)เรื่อง อนุรักษ์ผลงานและอนุรักษ์คนทำงาน พัฒนาผลงานและพัฒนาคนทำงาน
ดังนั้นผมจะให้เด็กสาวเหล่านั้นมาทอผ้าให้เป็นและเปิดเป็นโรงเรียนช่างทอ โรงเรียนแห่งนี้ในภาพของเราจะเป็นโรงเรียนแบบตามอัธยาศัย โรงเรียนของเรามีห้องเรียนมากที่สุดคือมีใต้ถุนบ้านของนักเรียนเป็นห้องเรียน มีครูเป็นแม่ น้า ยาย ย่า ป้าและปราชญ์ชาวบ้าน
อันนี้เป็นเรื่องเล่าที่เล่าให้ฟังในหัวตอนนี้ ท่านใดจะเสนอแนะเพื่อเป็นแนวทางของเราก็แนะนำมาได้นะครับ แล้วราจะไปปรับให้เข้ากับสังคมบ้านของเรา ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับข้อแนะนำครับ
ไม่มีความเห็น