<p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: justify" class="MsoNormal">ทำไมต้อง Partnership: ผู้เขียนจำได้ว่าตอนเข้าไปร่วมงานใหม่ๆกับ Save The Children(USA) ที่จังหวัดนครสวรรค์นั้นต้องเข้าร่วมการสัมมนาเรื่อง Partnership ทันที ใหม่ๆก็งงๆเหมือนกันแหละ อะไร Partnership สัมมนากันด้วยหรือ ฯ แต่แล้วก็เข้าใจว่ามันมีความสำคัญมากที่สมควรต้องคุยกัน เพราะบ้านเราไม่ค่อยมีวัฒนธรรมการทำงานร่วมกัน แม้ว่าคำว่าบูรณาการ หรือ Integration จะมีมามากกว่า 30 ปีแล้วในบ้านเราเท่าที่จำได้ ซึ่งปัจจุบันก็ยังพูดกันถึงกันอยู่เลย และในทางปฏิบัติก็ยังไม่ไปถึงไหน เหมือนการปฏิรูปการศึกษา พูดกันมาตั้งแต่ผู้เขียนเรียนหนังสือที่ มช. ปี 2512 โน้นนนน ก็ยังพูดกันอยู่และยังบอกว่ายังไม่ได้ปฏิรูปกัน “โครงสร้างสังคมไทยน่าที่จะมีอะไรสักอย่างที่ทำเรื่องเหล่านี้ไม่สำเร็จ” “ลักษณะคนไทยน่าที่จะมีบุคลิกภาพอะไรสักอย่างสองอย่างไหมที่ไม่เอื้อต่อเรื่องการร่วมมือกันหรือเปล่า” ..ไม่เอื้อต่อการปรับเปลี่ยน..ตั้งเป็นประเด็นไว้โก้ โก้ ก่อนครับ </p><p> แต่การสร้าง Partnership ในการทำงานขององค์กร Save The Children(USA) นั้นมีความจำเป็นต้องเข้าใจและนำไปปฏิบัติจริงเพราะ Save ต้องไปร่วมมือกับองค์กรอื่นๆทั้งหน่วยงานราชการและเอกชนทำงาน การเข้าไปร่วมมือนั้นต้องทำแบบบูรณาการ แบบคณะทำงาน (Task force committee=TFC) โดยไม่ได้เข้าไปทำเองคนเดียว โดด เดี่ยว เปลี่ยวเปล่า ให้เหงาหงอย ไม่ได้เอาเงินไปกองให้เขาทำเองไปเลย แต่ไปทำด้วยกัน ตรงนี้แหละครับ ตรงที่ไปทำด้วยกันนี่แหละ เขาเรียกว่า เป็นแบบ Partnership กัน ฝรั่งจึงจัด Course ขึ้นมาเรียนรู้เรื่องการทำ Partnering เพื่อเตรียมตัวพนักงานเข้าไปร่วมมือในการทำงานกันครับ </p><p>อะไรคือ Partnership: ในความหมายที่เข้าใจก็คือการเป็นพันธมิตรงานแก่กันและกัน ผู้เขียนใคร่จะขยายความเรื่องนี้เพื่อให้เพื่อนได้เข้าใจด้วยกันครับ หลักของมันก็มีดังนี้ </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 1cm; text-align: justify; tab-stops: list 42.55pt" class="MsoNormal">· การยอมรับความแตกต่าง: เป็นเหตุผลข้อแรกเลย เพราะแต่ละองค์กร แต่ละหน่วยงาน จะมีความเด่นความด้อยอยู่ การเข้ามาทำงานร่วมกันแบบ Partnership นั้นเป็นการเอาจุดเด่นของแต่ละองค์กรมาร่วมเข้าด้วยกัน โดยละเว้นจุดด้อยที่แต่ละองค์กรมีอยู่ จุดด้อยขององค์กรหนึ่งอาจจะเป็นจุดเด่นของอีกองค์กรหนึ่ง</p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 1cm; text-align: justify; tab-stops: list 42.55pt" class="MsoNormal">· มีศรัทธาต่อกัน (Trust): จะร่วมกันทำงานก็ต้องมีศรัทธาต่อกัน หากแม้ยอมรับว่าเขาเด่นเรื่องนี้แต่ไม่ศรัทธาเขา ก็อย่าร่วมกันดีกว่าครับ หาเรื่องทะเลาะกันเปล่าๆ ปลี้ๆ ตรงกันข้าม หากมีศรัทธา ก็จะเป็นการอุดช่องว่างให้แก่กัน องค์กรที่มีจุดด้อยก็เรียนรู้จุดเด่นของอีกองค์กรหนึ่ง แล้วเอาองค์ความรู้มาปรับใช้ มาพัฒนาองค์กรของตนเองให้พัฒนาขึ้น ก็ยิ่งเป็นการสร้างความเข้มแข็ง เรียกว่า Consolidation แก่กัน</p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 1cm; text-align: justify; tab-stops: list 42.55pt" class="MsoNormal">· มีความเท่าเทียมกัน (Equality): องค์กรมีขนาดแตกต่างกัน มีประสบการณ์แตกต่างกัน มีบุคลากรแตกต่างกัน ฯ การเข้าร่วมงานกันต้องรักษาระดับความเท่าเทียมกัน ไม่มีใครใหญ่ ใครเล็ก ไม่มีชั้นชน มีแต่เพื่อนร่วมงานที่มีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน (Dignity) มีเกียรติภูมิเท่าเทียมกัน มีความสง่างามเท่าเทียมกัน เช่นนี้คือฐานของการร่วมมือที่ดีต่อกัน เรามีคำไทยที่ใช้กันในป่าสมัยก่อน ซึ่งเอามาใช้ได้คือ “แสวงจุดร่วมสงวนจุดต่าง”</p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 1cm; text-align: justify; tab-stops: list 42.55pt" class="MsoNormal">· ความเป็นหนึ่งเดียวกัน (Unity): หรือเรียกว่า ความเป็น Solidarity ยึดเป้าหมายเป็นหลักเหมือนกับน้ำสองสีไหลมาบรรจบกัน ไม่ว่าน้ำจะสีอะไรก็เข้าหลอมรวมเป็นอันเดียวกันเป็นเนื้อเดียวกันได้ในที่สุด มีคุณสมบัติของน้ำครบถ้วน</p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 1cm; text-align: justify; tab-stops: list 42.55pt" class="MsoNormal">· การแลกเปลี่ยนกัน การแบ่งปันกัน (Sharing): การแบ่งปันกันเต็มที่ในองค์ความรู้จุดเด่นของกันและกัน เพื่อสร้างสรรค์ความสำเร็จของวัตถุประสงค์ที่จัดทำร่วมกัน การมาร่วมกันโดยเป็นเพียงเป็นผู้รับนั้นไม่เพียงพอ และไม่เหมาะสมในการเป็น Partnership หรือการทำแต่หน้าที่ ต้องเป็นผู้ให้ด้วย ให้ในส่วนที่เรามี รับในส่วนที่เราขาด แลกเปลี่ยนตามความคิดเห็น ประสบการณ์ ทัศนคติที่มีอยู่อย่างตรงไปตรงมาแต่ด้วยลักษณะท่าทีที่เป็นมิตรแก่กัน </p> <div style="text-align: center"></div> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: justify" class="MsoNormal">หากสามารถหลอมรวมกันได้ดังนี้ก็จะพบความสงบ ร่มเย็น สันติภาพ ความก้าวหน้า เจริญรุ่งเรือง เฟื่องฟุ้ง ตรงกันข้ามหากหลอมรวมกันไม่ได้ ก็ยุ่งตายห....</p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: justify" class="MsoNormal">หรือว่าสังคมไทยมีบุคลิกอะไรหนอที่ทำให้ไม่เกิดการหลอมรวมดังหลักการนี้ เรามีตัวอย่างทั้ง Best case และ Worth case บ้างไหมหนอ ?? ยังนึกไม่ออกเลยเนี่ยะ นึกออกแต่ชาวบ้านบางระจันรวมตัวกันต่อสู้พม่าข้าศึก นึกออกแต่วีรกรรมท่านย่าโม และฯลฯ สมัยนั้นไม่มีคำว่าพันธมิตรร่วมงาน ไม่มีคำว่าบูรณาการแน่เลย น่าจะมีคำว่า ช่วยกันคนละไม้คนละมือ ใครถนัดอะไรก็แสดงสิ่งนั้น ใครไม่ถนัดอะไรก็เป็นแรงงานให้กัน </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: justify" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: justify" class="MsoNormal"></p>แต่ทั้งหมดนั้นมีใจหลอมเข้าด้วยกันอย่างแน่นอน ใจรวมเป็นหนึ่ง ไม่เช่นนั้นบ้านเมืองไม่รอดมาจนปัจจุบันนี้หรอก แล้วการบูรณาการปัจจุบันนี้ ใจมันไปอยู่ที่ไหนกันหมด อยากรู้จริงๆเชียว..
เป็นรองเฉพาะ ฟิลิปินส์ อันนี้สัมผัสได้จริงๆที่ ฟิลิปปินส์
อินเดีย ประเทศเขาประชากรส่วนใหญ่ยังจนมากๆเลยครับตามความคิดโดยทั่วไปหากจนน่าจะเสี่ยงต่อการเกิดการคอรัปชั่นมากๆ
คนรวยเขาคงจะพอ คงจะไม่เอาอะไรอีก คงจะเป็นแบบว่า ชีวิตนี้พี่มีแต่ให้(ซึ่งคนไทยในต่างจังหวัด เขาเข้าใจเช่นนั้นจริงๆ ผมได้ยินกับหูตัวเองที่จังหวัดหนึ่งทางภาคเหนือ)
แต่ข้อมูลออกมา มัน บ่ ใจ่ทักษิณ เนียะ เพราะเขาเข้ามาสู่การเมือง จึงทำให้หินก้อนนี้ถูกพลิกดูทุกแง่มุมจึงเจอเหลี่ยมมากมาย หลายเหลี่ยม
มากหลายกลโกง
แต่มีเศรษฐี เมืองไทยที่อยู่เบื้องหลัง ที่ไม่ได้เข้าสู่การเมือง อย่าลืมว่า บรรดาหินเหล่านี้มิได้ถูกพลิกนะเราจึงไม่ทราบ
ขอไว้อาลัยให้แก่บ้านนี้เมืองนี้ ที่วิธีกลโกงมันอยู่ในสายเลือดเลยหรือไร?เอ๊ะ เบอร์นี้ ให้เท่าไหร่นะสวัสดีค่ะคุณบางทราย
ยังมีเหลี่ยมที่ยังไม่ถูกพลิกขึ้นมาอีกมากเท่าไหร่..นั่นน่ะสิคะยังมีอีกมากเท่าไหร่..เฮ้อ ! อ่านแล้วเหนื่อยใจจัง..
สมัยก่อนใช้คำว่า " ฉ้อราษฎร์ บังหลวง " ใช่มั้ยคะ..เห็นภาพชัดเลยนะคะว่าคุณโกงกินจากราษฎร์และรัฐอย่างไรบ้าง..
อ่านแล้ว ให้ผ่อนคลาย ถือว่ามีเพื่อนเราทุกข์(ใจ)ด้วยก็แล้วกัน
เขามั่นใจว่า มันดี มีจริยธรรมเรียบร้อย โลกธุรกิจเขาก็ทำกัน
ถวายสัตย์ฯเสร็จ ออกมาจากประตู พวกเขาลืมหมดเกลี้ยงเลยหรือ? นี่ผมคาใจ ตัวอย่างเล็กๆ คือ หวยมันไม่ดีแต่คนก็เล่นกันอยู่ ก็เอามาเล่นกันเปิดเผยไปเลยแถมรัฐได้ภาษี(บาป) จากสิ่งเหล่านี้
คนก็เริ่มสับสนระหว่างความดี เลว จริยธรรม คุณธรรม แยกไม่ออก มันเทาๆ แล้วเอาเงินนี้มาส่งลูกส่งหลานที่สมองดี ไปเรียนต่อเมืองนอกจะได้ชื่อว่าผมนักเรียนนอกเงินหวย รุ่น...นั้นรุ่นนี้....เรื่องอย่างนี้มันจะฝังตัวคนนั้นจนวันตาย น่าภูมิใจไหม?อย่าลืมว่า หวยส่งผลกระทบต่อสังคมทางลบนั้นมากมายเหลือเกิน ของไม่ดีเราก็ต้องบอกว่าไม่ดี ไม่เอา มันมีทางอื่นอีกมากมายที่หารายได้ หรือลดรายจ่าย ประหยัดกัน ไม่ใช่มาสิ้นคิด พลิกเอาของชั่วมาเป็นของดี นี่คือวิธีหนึ่ง ที่จริงมีอีกมากมายที่มีวิธีคิดเช่นนี้ของเขา คุณทักษิณ ผมก็เชื่อว่าหากไม่ลงมาทางการเมือง คนไทยกือบทุกคนจะยกย่องเขาว่า เป็นผู้ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งยวดของประเทศนี้ก็มิปานเลยล่ะ ผมไม่ใช่คนดังทางด่า นะครับ แต่ผมก็มีเครือข่ายแบ่งปัน และสร้างภูมิคุ้มกันซึ่งกันและกัน ค่อยๆทำตลอดมา และจะทำต่อไปอีกเรื่อยๆ ครับขอบคุณครับ