ในการใช้ชีวิตของข้าพเจ้ามีคนประเภทนี้อยู่ด้วยเสมอ เป็นการจำกัด เป็นการขีดเส้น หรือม่านกำแพงให้กับคนที่มีลักษณะเช่นนี้ ในเชิงที่มีขอบเขตที่ชัดเจนระดับหนึ่ง
ความหมายของคนที่ไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้อง
คือคนที่จะเข้าไปสัมผัสเฉพาะในกรณีที่ควร ที่จำเป็นเท่านั้น ถ้าหากในลักษณะทั่วไปแล้วก็เสมือนเป็นเพื่อนร่วมโลก แต่ก่อนคนกลุ่มนี้อาจจะเป็นคนที่มีประเด็นปัญหาต่อกัน แต่ปัจจุบันอาจไม่ต้องมีก็ได้ แต่จะเกิดจากการประเมิน วิเคราะห์ด้วยมุมมอง ด้วยประสบการณ์ ฐานข้อมูล ข้อมูลหลักฐานที่ชัดเจน โดยไม่ใช้ อคติในการตัดสิน มองด้วยฐานของศีลธรรม จารีต มาตรฐานเฉพาะ ตามบริบทที่เป็นหรือควร หรือมีเพิ่มเติม
- เพราะไม่มั่นใจในตรรกะของการใช้ชีวิต ของความคิดคนกลุ่มนี้ว่าจะได้มาตรฐาน ดีงามเพียงพอหรือไม่
- เพราะว่าคนกลุ่มนี้เคยทำ เคยกระทำการอันเป็นสิ่งที่ไม่ควร ไม่งามแบบชัดเจน และน่าเชื่อถือว่าผิดหลักการที่ควรเป็น ผิดจากจารีต กฎและวัฒนธรรมอันดีงามของสังคม ชุมชนนั้น
- คนกลุ่มนี้ได้กระทำการให้เกิดความเดือดร้อนต่อตน โดยขาดเหตุผลที่เหมาะที่ควรชัดเจน
- เพราะคนกลุ่มนี้มีโอกาสอันจะนำภัยมาสู่ตนในภายหน้า หรือไม่น่าไว้วางใจต่อความดีงามในวันหน้า
- เพราะไม่เกิดประโยชน์จากการได้สัมผัส เรียนรู้กับคนเหล่านี้แบบลึกซึ้ง
- อาจจะเพราะจริตที่อ่อนไหว เปราะบาง เพราะตนเองไม่ได้มีเกราะกำบังใดๆ ที่จะปกป้องตนจากบุคคลที่อาจจะก่อความทุกข์ ความไม่สงบให้กับชีวิตตน หรือจากปัญญาที่ยังไม่มีเพียงพอต่อการรับรู้ ยอมรับ
ตัวอย่างคนกลุ่มนี้
- เป็นคนที่ทำสิ่งที่ไม่ควร สิ่งที่ไม่เหมาะสมซ้ำซาก เป็นนิสัยส่วนตนที่มองอย่างไรก็ยากจะเปิดใจและแก้ไขได้ในวันอันใกล้
- เป็นคนที่ขาดศีลธรรม มีศีลธรรมที่ต่ำกว่ามาตรฐานที่ตั้งไว้
- เป็นคนที่ชอบพูด สื่อสารแบบไม่คิด ให้ร้ายผู้อื่นทั้งโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว
- เป็นคนที่ไม่มีเหตุผลที่ดี ตาที่ควรเป็น(ตามบริบทนั้นๆ) กระทำการณ์อันมาสามารถอธิบายได้ด้วยหลักการ หรือเกณฑ์มาตรฐานทั่วไปทางสังคม
- คนที่เอาตนเองเป็นศูนย์กลาง ขาดมิติของการยอมรับความคิดเห็น ฟังไม่เป็น ขาด สุนทรียสนทนา
- คนที่ประเมินแล้วมีสัดส่วนที่เป็นสีดำมากกว่าครึ่ง ณ ขณะนั้นๆ
- ขาดจุดยืนที่มั่นคงในตนเอง ไม้หลักปักเลน พูดอย่างทำอย่าง เช้าอย่างเย็นอีกอย่าง
***ถ้าหากท่านผู้รู้ท่านใดมีมุมมองเช่นไร ก็ขอได้ช่วยชี้แนะด้วยนะครับ ขอบคุณมากครับ****
มีต่อ....
อย่างที่เคยคุยกันว่า เรียนรู้จากเขาเพื่อการเติบโตของเรา
อ.ธวัช จาก สคส. เคยถามผมครั้งหนึ่งเรื่อง การพัฒนาตนเองจากข้างใน ว่าให้ผมเขียนออกมา และผมเคยคุยกับน้อง kmsabai มาครั้งหนึ่ง ผมคิดว่า สิ่งที่คิดและปฏิบัติอยู่ ล้วนแล้วแต่เป็นวิธีคิดอันเกิดจากดอกผลของการเรียนรู้ตนเองทั้งสิ้น
ผมอ่านแล้ว...ผมมองว่า น้องมองรอบด้านครับ และชื่นชมในการใช้ภาษาที่ทำให้เรื่อง ดูนุ่มนวลชวนอ่าน แม้จะมีหัวข้อเรื่องที่เป็นเชิงลบไปก็ตาม
ผมคิดว่า...การเรียนรู้ตนเองเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดก่อนที่จะปเรียนรู้ผู้อื่น
หากไม่เข้าใจตนเอง ก็อย่าหวังว่าจะเข้าใจคนอื่น
ปัญหา..คือโจทย์ข้อสอบที่ยาก และเราได้ทำโจทย์นั้นก็ถือว่า เป็นโอกาสที่เราจะผ่านและได้เลื่อนชั้น
เราจะเจอโจทย์ยากๆขึ้นไปเสมอในชีวิตที่เดินไป
ผมให้กำลังใจครับ
น้องหมอสุพัฒน์ ครับ
ถ้าเรากำหนดได้ เราคงเลือกให้รอบ ๆ ตัวเรามีแต่คนดี ๆ แต่ในชีวิตจริงเราเลือกไม่ได้ครับ...
ไม่มีสังคมไหนที่มีแต่คนดี และก็ไม่มีเหมือนกันที่สังคมไหนจะมีแต่คนเลว..
ภายในตัวของบุคคลก็เหมือนกันครับในคนเลว ก็คงมีความดีเล็ก ๆ ที่เราอาจจพอมองเห็นได้บ้าง คงต้องใช้ความพยายามครับ...
แต่เราคงต้องเริ่มสร้างเกราะของเราที่อ่อนแอให้แข็งแรงขึ้นก่อน โดยใช้ธรรมะที่เรามี....
การให้อภัยจะทำให้เรามองบุคคลอื่นได้สะดวกใจมากขึ้นครับ...
รักษาระดับของความข้องเกี่ยวให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ไม่ต้องถึงขนาดตัดหรอกครับ รักษาระยะห่างก็พอ คนในสังคมเดียวกันหนีกันไม่พ้นหรอกครับ...
ยิ่งพยายามหนีก็ยิ่งเป็นทุกข์ พยายามเรียนรู้ทำความเข้าใจ ยอมรับ และให้อภัย เราจะได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขมากขึ้นครับ...
สวัสดีครับพี่เอก
สวัสดีครับอาจารย์..เต็มศักดิ์
สวัสดีครับพี่Mr.DIRECT
น้องหมอสุพัฒน์ ครับ
มงคลข้อแรก และข้อที่ 2 คือ ไม่คบคนพาล คบบัณฑิต น้องน่าจะสามารถ ใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณค่า โดยเฉพาะ การเป็นหมอที่ดี จะเป็นที่พึ่ง ของ คนอื่นในวันข้างหน้า เพราะเรามีธรรมะ แต่บางทีเราก็ต้องเจอ คนเหล่านี้อยู่เนือง ๆ ครับ โดยเฉพาะการทำงานที่น้องกำลังทำอยู่
ก็แบบที่พี่เต็มแนะนำ แหละครับ ต้องอยู่กับคนเหล่านี้ให้ได้นะครับ เพราะ น้องอาจจะไม่สามารถหนีคนเหล่านี้ไปได้ตลอดชีวิต