การให้นับว่าเป็นการปฏิบัติให้เราเห็นอยู่เป็นประจำ...
การให้ใครคิดว่าไม่สำคัญ เพราะเป็นการเกี่ยวข้องกันหลายฝ่ายมคือมีทั้งผู้ให้และผู้รับ
ในความหมายของการให้นั้น คือ คนเราควรให้สิ่งของที่สมควรจะให้แก่ ผู้ที่สมควรรับเอาสิ่งของนั้นด้วย
เพื่อประโยชน์แก่เขา ซึ่งมีการให้อยู่ 2 ประการ คือ
1 . การให้ที่จำเพาะเจาะจงบุคคล โดยมีจุดมุ่งหมายว่า ในบรรดาบุคคลทั้งหมดนั้น สิ่งของนี้สมควรแก่เขาเพียงคนเดียว เมื่อเขารับเอาสิ่งของแล้ว
สิ่งของนั้นก็จะเป็นประโยชน์เฉพาะตัวเขาเอง อย่างนี้เรียกว่าเป็นการให้ทานเฉพาะเจาะจงหรือการให้เฉพาะแก่บุคคลผู้หนึ่งผู้ใด
2 . การให้แก่หมู่คณะ โดยมีจุดประสงค์เป็นไปเพื่อส่วนรวมของกลุ่มบุคคลนั้น ๆ เมื่อใครเดือดร้อนภายในกลุ่มชนนั้น ๆ
และมีความประสงค์อยากได้สิ่งของนั้น ๆ เขาก็บอกแจ้งต่อคณะบุคคลเพื่อพิจารณาจัดแบ่งสิ่งของนั้นให้ตามที่ต้องการนั้นเอง
เรียนท่านอาจารย์ UMI
การให้เป็นสุขครับ โดยเฉพาะ ให้โอกาส ครับ
สวัสดีครับ ท่าน
การให้เป็นสุขครับ โดยเฉพาะ ให้โอกาส ครับ
สุดยอดเลยครับท่าน
การให้โอกาส...โดยเฉพาะผู้ใหญ่ควรให้โอกาสผู้นอยได้เติบโตในการงาน
เหมือนแสงดวงอาทิตย์สาดส่องมาถึงยอดหน่ออ่อนให้เจริญเติบโตขึ้นไปสวยงามประดับโลก
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ คุณ
ผมหาทางไปเยี่ยมคุณ...วันสองวัน ประกอบกับ net หลุด ๆๆ จึงยากจริง...วันนี้ไปได้แล้วเพราะคุณเอาทางมาให้...ฮา ๆ เอิก ๆ
เป็นแนวทางของผู้ประเสริฐครับ...
ผมเห็นด้วยครับ
ขอบคุณครับ
อาจารย์คะ
ตามมาซึมซับการเป็นผู้ให้ด้วยค่ะ
ให้แล้วใจเป็นสุขจริง ๆ ค่ะ
สวัสดีครับ คุณ
ให้แล้วใจเป็นสุขจริง ๆ ค่ะ
เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ
ใจที่คิดจะให้ดีกว่าใจที่คิดจะเอา...ฮา ๆ เอิก ๆ
ขอบคุณครับ
มามองต่างมุมอีกแล้วครับท่านผู้อ่าน (ฮา/เอิก )
อันที่จริงผมเขียนเรื่องการให้ไปรอบแล้วในไซต์ของอาจารย์นมินทร์ ขอฉายซ้ำในที่นี้นะครับ
ถ้าตีความภาษากฎหมาย/อักขระวิธี เป็นไปแบบที่เขียนข้างบนครับ คือ คนเราควรให้สิ่งของที่สมควรจะให้แก่ ผู้ที่สมควรรับเอาสิ่งของนั้นด้วย
อันที่จริงในทางธรรมไม่มีเจตนาสื่อตรงนั้นเลย ท่านสื่อถึงการแบ่งปัน ไม่ใช่ส่งมอบ ไม่ใช่สละการครอบครอง ท่านหมายถึงการแบ่งปันความสุข แบ่งปันความสงบ แบ่งปันความบริสุทธิ์ แบ่งปันภาวนา เป็นหนึ่งในบุญกิริยาวัตถุ๑๐ครับ
ทั้งผู้ให้และผู้รับ ต่างได้รับการแบ่งปันความสุข(ทุกข์ที่เบาบาง ) แต่คนไปตีความออกนอกภาษาธรรมกันหมด ดังนั้นจึงไม่แปลกใจอะไรที่จะเจอคนน้อยใจ คนเสียใจ หรืออื่นอื่นอีกมากมาย(หลังจากการให้เพราะเขาให้ไม่เป็นครับ )
เพราะพวกเขาไม่เข้าใจภาษาคน ภาษาธรรมครับ เมื่อไรที่เราจะคิดให้ นั่นคือเราต้องเริ่มจากใจเราว่าเราจะแบ่งปันความสุข ความสงบ ความบริสุทธิ์ และความเจริญในชีวิตอย่างไร?
ไม่ใช่เสียสละ ไม่ใช่ส่งมอบไม่ใช่สละกรรมสิทธิ์/สละการครอบครอง ไม่ใช่บริจาคครับ นั่นคือภาษาคน ไม่ใช่ภาษาธรรม
สวัสดีครับ คุณ
สาธุ...อธิบายได้ดีทีเดียวครับ...
เป็นหนึ่งในบุญกิริยาวัตถุ๑๐ครับ ...
บุญกริยา แปลว่า ทางทำความดี
ทานมัย แปลว่า การทำบุญด้วยการให้ปันสิ่งของ...
เป็นหนึ่งใน 10 ข้อนั้น...เป็นกลาง ๆ...
คนเราควรให้สิ่งของที่สมควรจะให้แก่ ผู้ที่สมควรรับเอาสิ่งของนั้นด้วย
เพื่อประโยชน์แก่เขา ...
ประเด็นนี้...หมายถึงสิ่งควรคู่กัน...เหมือนม้าสีเทาของเล่าปี่ไง...
ใครขี่ก็ไม่ได้...ต้องสมควรแก่เล่าปี่เท่านั้น...ฮา ๆ เอิก ๆ...
แต่คนไปตีความออกนอกภาษาธรรมกันหมด ดังนั้นจึงไม่แปลกใจอะไรที่จะเจอคนน้อยใจ คนเสียใจ หรืออื่นอื่นอีกมากมาย(หลังจากการให้เพราะเขาให้ไม่เป็นครับ )
แล้วจะมีโลกธรรมแปดไวทำไมครับผม...
ไม่ใช่เสียสละ ไม่ใช่ส่งมอบไม่ใช่สละกรรมสิทธิ์/สละการครอบครอง ไม่ใช่บริจาคครับ ...
เออ...ขอถามผู้รู้ภูมิธรรมอย่างคุณหน่อยนะว่า...โลหิต...เป็นสิ่งบริจาคได้มั้ย...ฮา ๆ เอิก ๆ
ขอบคุรครับ
สวัสดีครับ อาจารย์
อาจารย์จับประเด็นผิดครับ ประเด็นของผมคือ เวลาเราให้(บริจาค )ก็ตาม เราจะคิดว่าเราทำความดีใช่ไหมครับ และเป็นบุญกิริยาวัตถุที่คนไทย popularที่สุด(อามิสบูชา )ทำอย่างไรคนไทยไปไกล/ลุ่มลึกกว่านี้?
เคยพบคนน้อยใจ/เสียใจ/แค้นใจไหมครับหลังจาการให้?จำนวนมากเลยใช่ไหม? ทำไมถึงเป็นอย่างนี้? ก็ไหนว่าการให้เป็นสุขใจไง? ทำไมทุกวันนี้คนส่วนใหญ่จึงชอบรับมากกว่าให้? มีอะไรผิดหรือ?
เคยเห็นปรากฎการณ์ดังต่อไปนี้ไหมครับอาจารย์ ?
การทวงบุญคุณ กำเนิดกฎหมายว่าด้วยคดีอุทลุมเป็นคดีต้องห้าม (ลูกหลานฟ้องบุพการี/บรรพบุรุษ )หรือนิทานพื้นบ้านชาวนากับงูเห่า,ระบบอุปถัมภ์ที่ฝังรากลึกในสังคมไทย,หนังกำลังภายในที่ว่าด้วยบุญคุณทดแทน ความแค้นต้องชำระ ฯลฯ
ทำหมดมาจากการเข้าถึง"ให้"อย่างหยาบ มาจากbehavior exchange ไม่ได้เริ่มจากความหมายที่แท้จริง และระหว่างบรรทัดของการให้ คือการแบ่งปัน( เริ่มจากใจ ) ไม่ใช่การสละการครอบครอง หรือโอนกรรมสิทธิ์(สมมติบัญญัติ )