สัปดาห์ที่ผ่านมา เห็นพี่ปนัดดาช่วยจัดการพิมพ์ร่างของโครงการของน้องไปรวิน ดังในบันทึกเล่าของคุณศิริ พี่ดาพิมพ์ออกมาให้อ่านเพื่อถามความเห็นว่าเราเข้าใจไหม ได้ช่วยกันเพิ่มเติมส่วนที่ยังไม่ชัดเจน คิดเหมือนคุณศิริค่ะว่า น่าทึ่งที่คนหน้างานของเราคิดค้นโน่นนี่ หาวิธีพัฒนางานกันอยู่เสมอ เพียงแต่เราไม่ได้ไปให้คุณค่า นำมาชื่นชมกันเท่านั้นเอง เขาทำของเขาด้วยความภาคภูมิใจ ตั้งหน้าตั้งตาทำงานอันดูเหมือนจะใช้แต่แรงงาน หนักหนาสาหัสจริงๆ พวกเรามีโอกาสได้ลงไปคุยด้วยทีไร เราก็จะกลับมาคุยกันเสมอว่า เค้ามีกันแค่ 2 คน มีงานต้องล้างต้องเตรียม ต้องเก็บกันมากมายเหลือเกิน ไม่เห็นเขาบ่นดังๆให้พวกเราได้ยินกันสักที มากันแต่เช้า รู้สึกจะไม่ได้ค่าล่วงเวลาด้วยซ้ำ
แต่สิ่งที่ประทับใจแล้วอยากนำมาเล่าในบันทึกนี้ คือสิ่งที่น้องไปรวินมาปรึกษาค่ะ น้องไปรวินบอกว่า หนูอยากพิมพ์งานในคอมฯได้เอง ใช้โปรแกรมเป็น ใช้คอมพิวเตอร์เป็น จะได้ซื้อไว้ใช้ที่บ้านบ้าง รู้สึกได้ว่าน้องเค้าพูดด้วยความอยากจะทำได้เป็นจริงๆ เมื่อมานั่งดูพวกเราพิมพ์งานให้ พิมพ์โน่นพิมพ์นี่ เห็นคนเสนอผลงานทางคอมพิวเตอร์ ได้เห็นแล้วว่า การที่เราทำให้คนทุกระดับเห็นว่า พวกเราทุกคนเห็นคุณค่าของสิ่งที่เขาทำ ทำให้ทุกคนอยากพัฒนาตนเอง เป็นสิ่งที่น่าดีใจเป็นอย่างยิ่งค่ะ ตั้งใจไว้ว่าจะพยายามติดตามดูว่าจะช่วยเหลือเพิ่มเติมได้อย่างไร
อีกเรื่องของความอยากพัฒนาตนเอง เป็นคำขอมาจาก OPD เจาะเลือดของเรานี่เอง ที่อยากจะพูดภาษาอังกฤษสื่อสารกับผู้รับบริการชาวต่างชาติที่มาเจาะเลือดให้ได้ดีกว่าที่เป็นอยู่ อุตส่าห์จดคำพูดประโยคต่างๆที่ต้องการมาขอให้ช่วยเขียนเป็นภาษาอังกฤษให้ พี่ปนัดดารับเป็นที่ปรึกษาว่า เราควรทำเป็นโครงการสอนเป็นเรื่องราวกันดู สักวันละครึ่งชั่วโมง สัปดาห์ละ 2-3 วัน สัก 3 เดือน อันนี้ก็ประทับใจค่ะ เป็นคำเรียกร้องที่มีมานานพอสมควรแล้ว และเรากำลังจะทำให้เห็นผลกันเร็วๆนี้แล้วล่ะค่ะ
เรียกได้ว่านโยบายต่างๆของภาควิชาฯที่ดำเนินมาตลอดเวลา 2-3 ปีนี้ ประสบความสำเร็จเป็นอย่างยิ่งทีเดียวค่ะ ทำให้คนภาคพยา-ธิของเราต่างตื่นตัว แสดงความคิดความเห็น ในการที่จะพัฒนางาน พัฒนาตัวเอง น่าชื่นชมจริงๆ
ดีใจที่ได้เป็นสมาชิกคนหนึ่งของ ชุมชนคนคุณภาพพยา-ธิจริงๆค่ะ
สวัสดีครับอาจารย์
ผมชื่นชอบและขอชื่นชมกับความมุ่งมั่นของผู้ที่ต้องการพัฒนาตนเองและเห็นความสำคัญของการพัฒนาตนเองและการพัฒนางานที่รับผิดชอบ
การรู้สึกเช่นนี้ก็เท่ากับการ "เปิดใจ" และ "เปิดรับ" การพัฒนาศักยภาพ ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยต้น ๆ อันสำคัญที่สุด เนื่องจากถ้าไม่มี "ใจ" ย่อมยากยิ่งต่อการพัฒนาใด ๆ
ในอดีตผมบรรจุใหม่ ๆ ก็ไม่เคยชินกับการใช้เครื่องคอมฯ สักพักเราก็รู้สึกไม่อยากเป็นภาระให้ใครทำให้ รวมถึงการต้องการพัฒนาตนเอง จึงดิ้นรนที่จะต้องเรียนรู้ทั้งโดยตนเองและคนรอบข้าง,, ทุกวันนี้ เจ้าหน้าที่ในสังกัดอยากทำโครงการอะไร ผมก็ไม่เคยลังเลที่จะบอกว่า "ลองไปทำมาดูได้เลย"
อีกทั้งผมก็ยังเชื่อเสมอมาอย่างไม่เปลี่ยนแปลงว่า "งาน คือ การชี้วัดคุณค่าของคน"
ขอบคุณครับ
ขอบคุณคุณโอ๋มากเลยค่ะ ที่นำเรื่องดีๆของคนเล็กๆ หน้างานมาเล่าให้ฟังเสมอๆ ช่วงนี้ สมองตีบตัน เขียน blog ก็ไม่ออก สมาธิส่วนหนึ่งไปอยู่ที่เรื่องหนังสือ KM (ขอใช้เป็นข้ออ้าง)
ช่วงนี้ คงต้องฝาก blogger คิดไว เขียนไว ช่วยดูแลชุมชน Smart Path