เข้าสู่เทศกาลแล้วครับผม....อย่าเพิ่งงงครับ ไม่ใช่เทศกาลพิเศษอะไรหรอกครับ แต่เป็นเทศกาลของการปิดภาคปลายปีการศึกษา เนื่องจากผมสอนอยู่ในโรงเรียนขยายโอกาสของกรุงเทพมหานครจะพบบรรยากาศของการเตรียมตัวเพื่อศึกษาต่อ ทั้งในระดับการจบช่วงชั้นที่ 2 หรือชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เข้าเรียนต่อใน ช่วงชั้นที่ 3 หรือมัธยมศึกษาปีที่ 1 อีกกลุ่มหนึ่งก็คือ นักเรียนในช่วงชั้นที่ 3 เข้าเรียนต่อในช่วงชั้นที่ 4 นอกจากนักเรียนจะวุ่นวายกับการสอบและการแก้ผลการเรียนแล้ว ผู้ที่รู้สึกร้อนอกร้อนใจไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย นั่นก็คือ พ่อ แม่ หรือผู้ปกครองของเด็กเหล่านี้
ผู้ปกครองหลายต่อหลายคน ถามผมว่าจะให้ลูกเรียนต่อที่ไหนดี มีปัญหามาพูดคุยอย่างหลากหลาย นักเรียน ม.3 ไม่เท่าไหร่ครับ เพราะเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ นักเรียนที่จบจากโรงเรียนที่ผมสอนอยู่นี้ มักเรียนต่อในสายอาชีพครับ มีเพียงส่วนน้อยที่ไปต่อในสายสามัญ (ติดอยู่ที่ว่า นักเรียนที่จะเข้าเรียนสายอาชีพน่ะ เดี๋ยวนี้เค้าไม่ค่อยสนใจหลักสูตรกันหรอกครับ ประเด็นสำคัญน่ะอยู่ที่ว่า ชุดสวย เก๋ไก๋ ทันสมัย แค่ไหน...คิดแล้วกลุ่มใจแทนผู้ปกครองครับ ) ผู้ปกครองที่มาปรึกษาก็คือผู้ปกครองของนักเรียนชั้น ป.6 ความคิดเห็นที่ว่าหลากหลาย ผมพอจะสรุปเป็นตัวอย่าง ดังนี้
ประเด็นที่ 1 อยากให้เรียนต่อที่โรงเรียนเดิมนะ...แต่ (พวกนี้จะสำรองโรงเรียนเดิมไว้ในใจ)
- กลัวลูกเบื่อโรงเรียน เพราะเรียนมาตั้งแต่อนุบาลแล้ว 7-8 ปี แล้ว
- กลัวเด็กจะดื้อกับครูเพราะคงคุ้นเคยกับครูแล้ว
- กลัวจะติดเพื่อนแล้วการเรียนแย่ลง ให้ไปเรียนที่อื่นดูบ้าง
- กลัวเรียนใกล้โรงเรียนแล้วไม่รู้จักสู้ชีวิต ส่งไปเรียนไกลๆ ดูบ้าง
- กลัวลูกไม่ทันโลกทันเหตุการณ์ เพราะโรงเรียนขยายโอกาสเอาครูประถมมาช่วยสอน
ประเด็นที่ 2 ตั้งใจให้ไปเรียนที่อื่น เพราะ........... (พวกนี้ยังไงๆ ก็ไม่อยู่โรงเรียนเดิม)
- โรงเรียนของ สพท. มีความพร้อมกว่าเยอะ ไม่ว่าจะเป็นครู หรืออุปกรณ์การเรียนการสอน
- ลูกจะได้ประสบการณ์ใหม่ๆ และดีกว่า (เค้าว่างั้น)
- สอบเข้าก่อน ถ้าไม่ได้ลุ้นจับสลากก็ยังดี เผื่อฟลุ๊ค หรือถ้าไม่ได้จริงๆ เข้าเรียนเอกชนก็ได้
- ลูกฉันเรียนเก่งกว่าใครในรุ่น ต้องไปเข้าโรงเรียนที่มีชื่อเสียงดีกว่า (ที่เรียนเก่งไม่ใช่เพราะเรียนที่นี่เหรอ?)
- ถ้าได้เข้าโรงเรียนที่มีชื่อเสียงก็เป็นหน้าเป็นตาของพ่อแม่ (พฤติกรรมของลูกค่อยดูกันทีหลัง)
และอีกหลากหลายเหตุผล ที่สามารถพรั่งพรูออกมาได้ จะให้ผมตอบยังไงล่ะครับ เพราะมันเป็นสิทธิส่วนบุคคลที่จะคิด จะทำ แต่ผมก็แสดงความคิดเห็นไปว่า จะเรียนที่ไหนไม่สำคัญครับ สำคัญตรงที่ว่าลูกของเรามีความพร้อมแค่ไหน หลักสูตรที่โรงเรียนแต่ละโรงเรียนจัดเหมาะสมสอดคล้องกับความต้องการหรือไม่ ที่สำคัญลูกของคุณน่ะมีปฏิกิริยาต่อโรงเรียนนั้นๆ อย่างไร ผมแสดงความคิดเห็นไปเท่านี้แหละครับ ครั้นจะบอกว่าให้เรียนที่โรงเรียนเดิมก็กระไรอยู่ ก็แย็บๆ ไปนิดว่า ถ้าเป็นผมเรียนใกล้บ้านดีที่สุดครับ
จริงๆ แล้วเรื่องสถานที่เรียนก็เป็นองค์ประกอบหนึ่งครับที่ใช้ในการตัดสินใจในการส่งบุตรหลานเข้าเรียน เพราะฉะนั้นแล้วผมมองเห็นว่าผู้ปกครองเดี๋ยวนี้มีความใส่ใจต่อการศึกษามากขึ้น ในฐานะที่เป็นบุคลากรทางการศึกษาคนหนึ่ง เมื่อเห็นปัญหาดังนี้แล้วก็เลยฉุกคิดขึ้นมาว่า ทำไมโรงเรียนจะต้องเป็นฝ่ายถูกผู้ปกครองเลือกเพียงฝ่ายเดียว เพราะโรงเรียนเองน่าจะเป็นฝ่ายเลือกเด็กได้ด้วยเหมือนกัน ....นั่นคือปัญหา
ผมคิดว่าถ้าเราอยากทำให้โรงเรียนของเราเป็นฝ่ายเลือกเด็กได้ เราก็ควรย้อนกลับมาดูการจัดการศึกษาของโรงเรียนของเราก่อนว่าเป็นที่ยอมรับของชุมชนหรือไม่ มีคุณภาพแค่ไหน....แต่ก็นั่นแหละครับ เป้าหมายของการจัดการศึกษา คือ ให้เด็กเป็นคนที่ เก่ง ดี และมีความสุข เพราะฉะนั้นไม่ว่าเด็กจะมีพื้นฐานมาอย่างไร โรงเรียนในฐานะแหล่งผลิต ก็ต้องนำวัตถุดิบมาปรุงแต่งให้เป็นสินค้าชั้นเยี่ยมให้ได้ ใช่ไหมครับ เพราะฉะนั้นโรงเรียนจะมีโอกาสเลือกวัตถุดิบไหมเนี่ย?................