โดนรบเร้าจากน้องนิสิตให้เขียนบทความกึ่งเรื่องเล่าง่าย ๆ สบาย ๆ ตามสไตล์ที่ผมถนัดให้สักชิ้น เกี่ยวกับอะไรก็ได้...ถ้าจะให้ดีก็เป็นข้อสังเกตเล้ก ๆ น้อยด้านกิจกรรมก็ยิ่งดีใหญ่ , ดูเขาจะมีความสุขที่ร้องขอเช่นนั้น แต่การเขียนภายในเวลาไม่ถึงครึ่งวันก็หนักหนาสำหรับผม เพราะผมต้องใช้ข้อมูลเยอะพอสมควรจึงจะเขียนได้
แต่ท้ายที่สุด ผมก็หลับตาจินตนาการถึงเรื่องราวกิจกรรมที่ผ่านพ้นและผ่านเลยเข้ามาในชีวิตในช่วงสั้น ๆ พอที่จะประมวลเป็นถ้อยคำได้ดังประการฉะนี้
คงเป็นการยากอยู่ไม่ใช่น้อยหากให้ชี้วัดว่า “กิจกรรมนิสิตให้อะไรกับชีวิตนิสิตบ้าง ?” แต่คำตอบที่พบถี่ครั้ง และกลายมาเป็นคำตอบสากลไปแล้วก็น่าจะเป็นในทำนองที่ว่า “กิจกรรมนิสิตให้ประสบการณ์ชีวิตที่ไม่อาจค้นพบได้จากห้องเรียนตามรายวิชาทั่วไป”
ดังนั้น จึงมีการเอ่ยทักกิจกรรมนิสิตในสถานะที่เป็น “กิจกรรมนอกหลักสูตร หรือ กิจกรรมเสริมหลักสูตร” อันมีจุดมุ่งหมายสูงสุดเพื่อเป็นกลไกสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพของนิสิตให้เป็นบัณฑิตที่พึงประสงค์ของสังคม
ถึงแม้กิจกรรมนิสิต จะไม่ใช่กลไกอันสำคัญที่สุดของการเสริมสร้างและพัฒนาให้นิสิตเติบโตและงอกงามขึ้นเป็นทรัพยากรอันทรงคุณค่าของสังคม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า การเรียนการสอนตามหลักสูตรแต่เพียงอย่างเดียว จะสามารถเติมเต็มในการพัฒนาศักยภาพนิสิตอย่างสมบูรณ์ได้เช่นกันหากแต่ต้องพึ่งพิงกระบวนการทั้งสองอย่างควบคู่กันไป
กิจกรรมนิสิต จึงเป็นเสมือนความท้าทายของการเรียนรู้และสัมผัสรสชาติชีวิตปัญญาชนนอกตำราเรียนของคนหนุ่มสาวในรั้วมหาวิทยาลัย สู่การเรียนรู้คุณค่าความหมายของชีวิตและสังคม ฝึกฝนและปลูกสร้างความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน (integrity) มีจิตสำนึกแห่งความซื่อสัตย์ (honesty) และตระหนักในเกียรติภูมิแห่งความเป็นมนุษย์ (Dignity of Man) โดยสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นรสชาติแห่งการเรียนรู้ชีวิตที่ท้าทายคนหนุ่มสาวในมหาวิทยาลัยเป็นยิ่งนัก และถึงแม้ยุคสมัยจะเปลี่ยนผันไปมากมายสักแค่ไหน เราต่างก็ไม่เคยสิ้นหวังในกระบวนการแห่งการพัฒนาศักยภาพนิสิตผ่านกระบวนการแห่ง “กิจกรรมนิสิต” เลยแม้แต่น้อย
หากจะเรียกนักกิจกรรมว่าเป็น “คนดีของสังคม” ก็คงไม่ผิดนัก เพราะกิจกรรมนิสิตนอกจากจะก่อเกิดประโยชน์ต่อนิสิตเองแล้ว ยังก่อเกิดคุณประโยชน์ต่อสังคมด้วยเช่นกัน ซึ่งสังคมในที่นี้ก็หมายรวมถึงสังคมมหาวิทยาลัยและสังคมทั่วไป
เป็นที่ทราบกันดีว่า “คนทำดี” ไม่หวังผลการตอบแทนใด ๆ จากสังคมเป็นแน่ แต่สังคมก็ควรต้องมีวัฒนธรรมที่ดีในการให้เกียรติและชื่นชมความดีงามของคนเหล่านั้นอย่างเป็นรูปธรรมและต่อเนื่อง
ปีการศึกษา 2549 กองกิจการนิสิต ได้ขับเคลื่อนให้มีการประกาศใช้แนวปฏิบัติด้านกิจกรรมนิสิตอย่างเป็นทางการ และถือเป็นครั้งแรกที่นักกิจกรรมมี (เสมือน) ระเบียบกิจกรรมใช้อย่างเป็นทางการด้วยการลงนามของอธิการบดี และเตรียมความพร้อมสู่การตราเป็นข้อบังคับว่ากิจกรรมนิสิตในอนาคต
นอกจากนี้ ยังมีการประกาศใช้ “สมุดบันทึกกิจกรรม” (Student Activity Passbook) พร้อมวางระบบไปสู่การจัดทำใบระเบียนกิจกรรมนิสิต หรือ ทรานสคริปกิจกรรม (Student Activity Transcript) ซึ่งถึงในทางปฏิบัติจะยังไม่เป็นรูปธรรมนัก แต่ก็ต้องถือว่าเป็น “จุดเริ่มต้น” ที่ดีของการวางระบบอันสำคัญของการชี้ให้เห็นคุณค่าและความสำคัญของการใช้กิจกรรมเป็นกลไกแห่งการเสริมสร้างและพัฒนานิสิต
เช่นเดียวกัน กองกิจการนิสิต ยังได้ปัดฝุ่นกระบวนการแห่งการ “เชิดชูเกียรตินักกิจกรรม” ในนาม “ช่อราชพฤกษ์” อีกครั้ง หลังจากเว้นวรรคไปร่วม 2 ปี รวมถึงการจัดสรรทุนให้แก่นักกิจกรรมมากถึง 50 ทุน ๆ ละ 3,000 บาท
สิ่งเหล่านี้ ถือเป็นการวางระบบโครงสร้างการทำงานกิจกรรมนิสิตและการสร้างวัฒนธรรมแห่งการเชิดชูคนดีของสังคมอย่างน่าภาคภูมิใจ
ปรากฏการณ์สำคัญอีกประการหนึ่งที่ถือได้ว่ามีความน่าสนใจไม่น้อย เนื่องจากแทบไม่ปรากฏเลยในห้วงเวลาอันยาวนานของกิจกรรมนิสิต กล่าวคือ มีองค์กรนิสิต ได้รับการยกย่องและเชิดชูเกียรติ ตลอดจนการได้รับการพิจารณาสนับสนุนงบประมาณในการจัดกิจกรรมสร้างสรรค์จากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนอยู่หลายองค์กร เป็นต้นว่า ชมรมอาสาพัฒนา คว้างรางวัลขวัญใจกระทิงมาครอง จากนั้นยังได้รับการประกาศเกียรติคุณในระดับชาติให้เป็นองค์กรเยาวชนดีเด่นด้านบำเพ็ญประโยชน์เนื่องในวันเยาวชนแห่งชาติ
ขณะที่ กลุ่มนิสิตพลังสังคม,(ค่ายสายธารปัญญาชน) สโมสรนิสิตคณะเภสัชศาสตร์ (ค่ายลูกฮักรักษ์สุขภาพ) ก็ได้รับงบประมาณสนับสนุนจากภายนอกในการจัดกิจกรรม รวมถึงชมรมนาฏศิลป์และดนตรีพื้นเมือง หรือที่รู้จักมักคุ้นในชื่อ “วงแคน” ก็ยังได้รับการสนับสนุนงบประมาณจัดตั้งศูนย์ฯ รวมถึงการออกค่ายสอนทักษะและสร้างแรงจูงใจให้เด็กและเยาวชนได้ตระหนักในความสำคัญของการอนุรักษ์และสืบสานวัฒนธรรมท้องถิ่น โดยเฉพาะในด้านดนตรีและนาฏศิลป์พื้นบ้าน
และล่าสุด ชมรมอาสาพัฒนา สโมสรนิสิตคณะเภสัชศาสตร์ และชมรมยุวชนประชาธิปไตย ก็ยังได้รับการพิจารณาสนับสนุนด้านงบประมาณจาก สสส. เพื่อจัดกิจกรรมในช่วงปิดภาคฤดูร้อนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนนายพัชรพงษ์ สมัครสมาน หัวเรือใหญ่ของชมรมรักบี้ฟุตบอล ก็ได้สร้างชื่อเสียงให้กับมหาวิทยาลัยด้วยการเป็นนักกีฬาทีมชาติไทย เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ครั้งล่าสุด มาสด ๆ ร้อน ๆ
การรวมตัวของกลุ่มองค์กรนิสิตและกลุ่มคนที่เรียกตนเองว่า “มหกรรมคนอาสา” ถือเป็นการผลิกประวัติศาสตร์การจัดกิจกรรมนอกระบบอย่างน่าสนใจ โดยพวกเขาได้รวมตัวกันประสานความร่วมมือกับองค์กรพันธมิตรเพื่อสังคมจากภายนอกร่วมกันจัด “มหกรรมอาสา” ขึ้นมา ด้วยการเชิญชวนนิสิตไปร่วมลงแขกเกี่ยวข้าวในพื้นที่ จ.มหาสารคาม และร้อยเอ็ด เพื่อแลกกับการรับบริจาคข้าวเปลือกจากเจ้าของนาไปมอบให้กับผู้ประสบภัย “น้ำท่วม โคลนถล่ม” ในหมู่บ้านกิ่วเคียน, บ้านน้ำรี, บ้านทรายงาม ต.จริม อ.ท่าปลา จ.อุตรดิตถ์
กิจกรรมที่จัดขึ้นไม่ได้ขออนุมัติการจัดกิจกรรมต่อมหาวิทยาลัย แต่ก็ใช้เวทีของมหาวิทยาลัยเป็นศูนย์กลางขับเคลื่อนและรวมพลอย่างสง่าผ่าเผย เป็นภาพสะท้อนเรื่องจิตสำนึกของนิสิตที่มีต่อสังคม เป็นภาพสะท้อนของการจัดกิจกรรมที่สอดรับกับภาวะทางสังคมที่เด่นชัดและเป็นประโยชน์อย่างจริงแท้
การลงแขกเกี่ยวข้าวท่ามกลางเปลวแดดและลมร้อนอันเริงแรง คือ การได้สัมผัสเรียนรู้ต่อวิถีของ “ชาวนา” ที่ยากลำบากและสัมผัสกับพลวัตรที่เปลี่ยนแปลงของวิถีการทำนาของชาวนาอีสาน .. เป็นกิจกรรมแห่งการเรียนรู้จริงที่น่าสนใจและควรค่าต่อการขยายผลอย่างต่อเนื่อง
จนท้ายที่สุด กองกิจการนิสิต ได้เข้าไปช่วยดูแลสนับสนุนด้านงบประมาณในการขนย้าย “ข้าวเปลือก” ไปมอบให้กับพี่น้องชาวอุตรดิตถ์อย่างเสร็จสมบูรณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
สังเขป (สั่งลา)
ข้อสังเกตบางประการในบันทึกเฉพาะกิจฉบับนี้ เป็นข้อสังเกตอันน้อยนิดจากคนเฝ้ามองการดำเนินไปของกิจกรรมนิสิต เป็นการเฝ้าสังเกตเพื่อ “ทำความเข้าใจ” เพื่อรอเวลาแห่งการ “ต่อยอด” ไปสู่พันธกิจอันยิ่งใหญ่ในวิถีกิจกรรม
บางเรื่องราวจากหลายองค์กรยังไม่ถูกบันทึกและนำเสนอไว้ ณ ที่ตรงนี้ แต่นั่นก็มิได้หมายถึงว่า กิจกรรมขององค์กร หรือบุคคลที่เหลือนั้นปราศจากคุณค่าใด ๆ หากแต่ผู้สังเกตการณ์อย่างข้าพเจ้าฯ จะได้นำเสนอในวาระอื่นอีกครั้ง
…………………………………………………………..
พนัส ปรีวาสนา : เขียน
เอกสารประกอบ “วันขอบคุณนักกิจกรรม”
24 ก.พ. 50
………………………………………………………..