ตราสารทุน(1) การออมที่แสนตื่นเต้น


ตราสารทุน ฟังดูอ่านจะไม่คุ้นเคย แต่ถ้าบอกว่า เล่นหุ้น คงจะร้องออกัน

ตราสารทุน

ตราสารทุน เป็นรูปแบบการระดมทุนของบริษัทมหาชนต่างๆเพื่อนำเงินนั้นไปใช้ในกิจการ เพื่อชำระหนี้ เพิ่มทุน หรืออาจนำไปลงทุนเพิ่มเติมต่างๆให้บริษัท

ตราสารทุน เรารู้จักกันดีครับในชื่อ หุ้น หรือที่หลายๆคนมีคำพูดติดปากที่ว่า " คนจนเล่นหวย คนรวยเล่นหุ้น" ฟังแล้วคงจะเป็นความเข้าใจที่ผิดพลาดไปบ้างครับ เนื่องจากการลงทุนในตราสารทุน (ต่อไปผมขออนุญาติเรียกว่า การเล่นหุ้น) ไม่จำเป็นต้องมีเงินมากมายเหมือนที่ทุกท่านคิด แล้ผมจะเล่าถึงต่อๆไปนะครับ

การเล่นหุ้น หลายคนอาจจะถามว่า ทำไมมีแต่คนเล่นหุ้นกัน แล้วก็คงมีแต่คนรวยๆที่เล่น หรือเคยได้ยินว่าบางคนหมดตัวหรือล้มละลายจากหุ้นเลยก็มี ซึ่งเป็นความจริงบางส่วนครับ

เนื่องจากการเล่นหุ้นเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง แต่ผลตอบแทนที่ได้กลับมาก็สูงตามความเสี่ยงไปด้วย ดังคำที่ว่า "High risk, High return" ผมจะยกตัวอย่างสั้นๆซักอันให้เห็นภาพนะครับ

    สมมุติให้หุ้นบริษัท A มีมูลค่าวันที่เราซื้อมา 1.00 บาท

    ต่อมาเนื่องจากบริษัทประกาศว่าขาดทุนจากการดำเนินกิจการทำให้เกิดความกังวลว่าผลตอบแทนจากเงินปันผลที่เคยได้รับจากการถือหุ้นจะลดลง ผู้ที่ถือหุ้น A จึงพากันขายหุ้นนี้ทิ้ง

    ราคาหุ้น A ตกลงเหลือเพียง 0.95 บาท

 หากว่าวันนั้นผมซื้อหุ้น A ไว้ 10000 หุ้น หรือ 10000 บาท ราคาในวันนี้ของหุ้นผมจะลดลงเหลือ 9500 ทันที หรือขาดทุนไป 50 บาท แต่ทว่าตราบใดที่ไม่ได้ขายออกเรายังไม่ขาดทุนจริงๆครับ แต่เป็นการขาดทุนทางบัญชี (ช่วงนี้ได้ยินบ่อยจากแบงค์ชาติ)

แต่การถือหุ้นที่มีแนวโน้มจะลดลงไปนานๆ มูลค่าของมันจะลดลงไปเรื่อยๆ จนบางตัวไม่เหลือมูลค่าเลย ดังนั้นนักลงทุนส่วนใหญ่จะขายออกมาในขณะที่ราคายังลดลงไม่มาก เรียกว่า การขายตัดขาดทุน

  บางคนอาจจะเริ่มถามแล้วแล้วจะลงทุนในหุ้นทำไม เพราะเสี่ยงเหลือเกิน ผมจะตอบเลยแล้วกันครับว่า การเล่นหุ้นนั้นมีหลายแบบครับที่เราจะได้รับผลตอบแทน ซึ่งจำแนกได้ดังนี้

1. การได้รับผลตอบแทนจากมูลค่าหุ้นที่สูงขึ้น (Capital gains) คือเมื่อราคาหุ้นสูงขึ้น หากเราขายออกไป เราจะได้กำไรจากราคาที่เป็นส่วนต่าง ซึ่งหากหุ้นมีการดีดตัวขึ้นสูง อาจจะได้ผลตอบแทนเกือบ 100% เลยก็เป็นได้ ที่สำคัญและเป็นที่วิจารณ์กันมากเมื่อปีที่แล้ว คือ ผลกำไรที่ได้จากการขายหุ้นเมื่อราคาสูงขึ้นในตลาดหลักทรัพย์ กำไรที่ได้ไม่ต้องนำมาคำนวณการเสียภาษีครับ เห็นถึงความเย้ายวนของการเล่นหุ้นหรือยังครับ

2. การถือครองหุ้นของบางบริษัท จะได้รับผลตอบแทนในรูปแบบของเงินปันผลครับ บางบริษัทจ่ายให้ถึงปีละ 10% ก็มีครับ แต่หุ้นเหล่านี้มักราคาไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงมาก เนื่องจากผู้ซื้อจะถือยาวเพื่อรับเงินปันผล ราคาจึงไม่หวือหวา ในทางกลับกัน หุ้นที่ไม่จ่ายเงินปันผล มักมีราคาหวือหวากว่าหุ้นปันผล

3.การได้รับสิทธิพิเศษอื่นๆเช่น ได้รับลูกหุ้น หรือได้รับใบสำคัญแสดงสิทธิต่างๆ เช่น ใบสำคัญแสดงสิทธิในการซื้อหลักทรัพย์ (Warrant) ซึ่งสามรถนำไปขายในตลาดหลักทรัพย์ได้เช่นกัน

โดยสรุปแล้ว การเล่นหุ้นอาจจะดูเสี่ยง แต่ได้รับผลตอบแทนสูงครับ แต่ใครไม่ออกเสี่ยงมาก อาจเลือกลงทุนในหุ้นกลุ่มที่จ่ายเงินปันผล ได้ปันผลสูงกว่าดอกเบี่ยเงินฝากออมทรัพย์ก็มีหลายหุ้นครับ แล้วผมจะมาเล่าให้ฟังใหม่ หรือสงสัยเรื่องอะไรลองมาแลกเปลี่ยนกันนะครับ ผมก็ไม่ได้เก่งอะไร เพียงแต่ศึกษามาบ้างเท่านั้น

หมายเลขบันทึก: 80504เขียนเมื่อ 25 กุมภาพันธ์ 2007 09:35 น. ()แก้ไขเมื่อ 5 มิถุนายน 2012 15:43 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (16)

หุ้นนั้นเหมาะกับการถือยาวครับ และเหมาะกับการถือหลายๆตัว และหลายๆประเภทอุตสาหกรรม ตามหลัก Portfolio's theory ของ Markowitz นะครับ แต่คนไทยนั้นเน้นถือสั้นครับ แล้วเนื่องด้วยตลาดหุ้นเมืองไทยนั้นเล็ก เลยเกิดการปั่นหุ้นได้ง่ายครับ

เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ  ถือยาวได้มากเท่าไหร่ ความเสี่ยงในการเล่นหุ้นจะลดลงมากขึ้นเท่านั้น

ต้องไปขอวิชาจาก ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร มาซะแล้ว ผมจะได้ไม่ขาดทุนอีก....อิอิอิ 

 ขอบคุณนะครับที่มาให้ความรู้ ขอบคุณมากครับ แล้วมาแลกเปลี่ยนกันอีกนะครับ

แหม จริงๆแล้วการถือยาวไม่ได้ลดความเสี่ยงของการลงทุนนะครับ อันนี้เราอาจจะต้องปรับความเข้าใจกันนิดหน่อย

การถือยาวนั้น ที่ไม่ขาดทุนอาจจะเป็นเพราะว่า ค่าของเงินนั้นมันเพิ่มค่าตามเวลา (appreciation) นะครับ ดังนั้นเวลาขายแล้วเราก็ขายได้มากกว่าราคาซื้อ ทำให้เราคิดว่ามันกำไร แต่ถ้านับในทางเศรษฐศาสตร์จริงๆ มันอาจจะลดกำลังซื้อของเราไปได้ครับ เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อ

ดังนั้น bond นั้น ถึงแม้ในทางการเงินจะเรียกว่า "risk free asset" คือไม่มีภาวะความเสี่ยง แต่จริงๆแล้วในความหมายก็คือ เรารู้ว่าเราจะได้เงินเท่าไรหลังจากซื้อบอนด์ครับ (ได้ตาม face value) แต่นั้นไม่ได้หมายความว่าเราไม่มีความเสี่ยงเลย เพราะว่ามันก็อาจจะเสี่ยงจากภาวะเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ย หรือรวมไปถึงผู้ออกบอนด์ชักดาบด้วยครับ   

 

 

ถูกต้องแล้วคร้าบ......................ขอส่งไปลงแข่งแฟนพันธุ์แท้นักลงทุนไทย

ความเสี่ยงมีอย่างที่ว่าจริงๆครับ ขนาดเงินในธนาคารยังมีความเสี่ยงเลยเนอะ

ช่วยอธิบายถึงสถาบันประกันความเสี่ยงสถาบันการเงินหน่อยสิครับ ไม่เข้าใจว่าจะตั้งขึ้นมาเพื่อเหตุผลอะไรครับ

ขอบคุณล่วงหน้าครับ........ :  )

ปล. แฟนหงษ์เช่นกัน แต่ไม่ค่อยได้ดูหรอกครับ ....555

แหมคงไม่บังอาจครับรับว่าเป็นแฟนพันธุ์แท้ครับ เรื่องไฟแนนซ์นั้นแค่รู้เรื่องงูๆปลาๆครับ จริงๆแล้วผมไม่เข้าใจคำถามเรื่อง สถาบันประกันความเสี่ยงสถาบันการเงินครับ เคยได้ยินแต่สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือทางการเงินครับ

แต่ถ้าพูดถึงเรื่องความเสี่ยงก็พออ่านหนังสือบวกโดนบังคับเรียนมาบ้าง แต่คงไม่ถึงขั้นแฟนพันธุ์แท้แน่นอนครับ

เป็นหน่วยงานที่จะตั้งขึ้นเพื่อประกันเงินฝากในธนาคารพานิชย์ครับ ในอนาคตมีแน่นอน แต่เพื่ออะไรเลยอยากทราบ แต่เดาว่าธนาคารพานิชย์จะไม่รับผิดชอบความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นกับเงินฝากของเราแล้วครับ น่าจะประมาณนี้นะครับ

สวัสดีครับคุณ นักลงทุนเงินน้อย

ถ้าผมจำไม่ผิดเนี่ยเรื่องการตั้งสถาบันขึ้นมานั้น มีความคิดที่หลังจากที่ทรัสต์ล้มตอนเหตุการต้มยำกุ้งหรือเปล่าครับ แต่ตอนนั้นกระทรวงการคลัง (สมัยคุณธารินทร์) ได้ออกมารับประกันเงินฝากให้กับผู้ฝากทุกคนครับ เพื่อไม่ให้ประชาชนตกใจแห่กันออกไปถอนเงินและนอนกอดเงินสด แต่หลังจากเหตุการณ์ต้มยำกุ้งสะเทือนโลกได้จบลง รัฐบาลนั้นได้ยกเลิกที่จะรับประกันเงินฝากทุกบาททุกสตางค์ให้กับประชาชนทุกคนแล้วครับ แต่รัฐจะรับประกันเงินฝากให้กับประชาชนขั้นต่ำครับ ผมจำไม่ได้ว่าเท่าไร เช่นถ้ารัฐรับประกันแค่ 500 ถ้าคุณฝากเกิน 500 ส่วนเกินก็จะเป็นส่วนเสี่ยงครับ เพราะว่า กลัวว่าผู้บริหารแบงค์หรือทรัสต์ฟันด์นั้นจะบริหารไม่ซื่อแล้วรัฐต้องมาอุ้มอีก (ดังนั้นถ้าจะว่าไป เหตุการณ์นี้ก็สำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจไทยนั้นกลับมาฟื้นตัวได้ค่อนข้างเร็วครับ) ดังนั้นเวลาแบงค์ล้มหน่วยงานนี้ก็จะมีหน้าที่จ่ายเงินให้แบงค์แทนครับ (แต่รายละเอียดนั้นมีมากกว่านี้ครับ อันนี้แค่หลักๆครับ) สถาบันตัวนี้ในอเมริกาเรียกว่า FDIC ครับ

 

สงสัยจะใช่นะครับ ว่าแต่ตื่นมาแลกเปลี่ยนแต่เช้า หรือว่าไม่ได้นอนครับเนี่ย

อ้อจริงๆอยู่ อเมริกาครับ ;)

ลืมไปครับคุณนักลงทุนตัวน้อย ไม่สนใจที่จะคิดความเสี่ยงของ portfolio ที่ตัวเองลงทุนบ้างหรอครับ

ก็กระจายๆๆไปในกลุ่มต่างๆนะครับ แต่จะหนักไปทางพลังงาน แต่ช่วงนี้เศร้าครับ........ฮือๆๆๆๆ

มาเยี่ยมคะ  หนูอยากเป็นนักลงทุนตัวน้อยจังเลย 

ตอนนี้ชักตัวใหญ่แล้วครับ ถ้าอยากเป็นนักลงทุนก็ต้องเริ่มจากการออมไว้เยอะๆก่อนนะคับ คุณ kame อย่าเอาเงินไปซื้อขนมกับชั่วโมงเน็ทซะหมดนะครับ อิอิ

สวัสดีค่ะ P นักลงทุนเงินน้อย

  • น่าสนใจค่ะ ความรู้เรื่องการลงทุนนี่ ไม่ค่อยมีเลยค่ะ *_*
  • ไว้จะมาตามอ่านจากที่นี่ละกันนะคะ :D
..ณิช..

ขอบคุณครับคุณ ณิช

  ไว้เข้ามาแลกเปลี่ยนกันอีกนะครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท