……………………………………………………………………………………………………………………….
จรรยาบรรณพยาบาลฉบับนี้ เป็นจรรยาบรรณฉบับที่ 2 ซึ่งปรับปรุงแก้ไขจากจรรยาบรรณวิชาชีพการพยาบาลที่ได้ประกาศใช้เป็นฉบับแรกใน พ.ศ.2528 ได้รับการปรับปรุงให้เป็นหลักนำการประกอบวิชาชีพ ที่ตอบสนองความต้องการของยุคสมัย ภายใต้อิทธิพลของแนวโน้มและสภาวะการณ์ปัจจุบัน ซึ่งประเทศมีความก้าวหน้าทางการศึกษาเทคโนโลยีการสื่อสารและการคมนาคม เป็นภาวะโลกาภิวัฒน์ที่ทำให้ความรู้ ความคิดเห็น วัฒนธรรม ความต้องการ สภาพการดำรงชีวิต ตลอดจนปัญหาสุขภาพ หรือลักษณะโรคของประชาชนเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้น รวมทั้งความก้าวหน้าในวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางการแพทย์ ซึ่งมีผลในการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการตรวจวินิจฉัย และรักษาโรคความก้าวหน้าของศาสตร์ทางการพยาบาล และศักยภาพของวิชาชีพการพยาบาลในระบบบริการสุขภาพ ในขณะเดียวกันประชาชนมีความตื่นตัวในสิทธิมนุษยชน และการพึ่งตนเอง รวมทั้งต้องการมาตรฐานคุณภาพชีวิตที่สูงขึ้น ซึ่งได้รับการส่งเสริมและคุ้มครองโดยรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับ พ.ศ. 2540 ในหมวดว่าด้วยสิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย และหมวดว่าด้วยแนวนโยบายพื้นฐานของรัฐเกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของบุคคล และการจัดและส่งเสริมการสาธารณสุขให้ประชาชนได้รับบริการที่ได้มาตรฐาน และมีประสิทธิภาพอย่างทั่วถึง
จรรยาบรรณพยาบาลแต่ละข้อเป็นหลักนำการปฏิบัติที่มีข้อความสั้น เพื่อให้เห็นความเป็นเอกภาพของจรรยาบรรณพยาบาลได้ ซึ่งแต่ละข้อมีความหมายครอบคลุมการปฏิบัติหน้าที่ทางจริยธรรมแต่ละหมวดอย่างกว้างขวาง มีแนวการปฏิบัติขั้นละเอียด เพื่อขยายความหมายของแต่ละข้อ จรรยาบรรณฉบับนี้ใช้ในการประกอบวิชาชีพการพยาบาลทุกด้าน ในทุกสถานที่และทุกตำแหน่งหน้าที่
การประกาศจรรยาบรรณเป็นการแสดงออกซึ่งความตระหนักในความรับผิดชอบทางจริยธรรมของพยาบาลและเพื่อใช้เป็นหลักนำการประกอบวิชาชีพให้มีมาตรฐานสูง สอดคล้อง ตรงกันทั่วประเทศ รวมทั้งเป็นการสื่อสารที่ช่วยให้ผู้ใช้บริการผู้ร่วมงานในวิชาชีพนั้นๆ และประชาชนทั่วไปได้ทราบถึงจรรยาบรรณที่พยาบาลยึดถือในการประกอบวิชาชีพ และแสดงความมุ่งมั่นของพยาบาลที่จะประกอบวิชาชีพให้มีคุณภาพในมาตรฐานสูง โดยเหตุนี้จรรยาบรรณพยาบาลทำหน้าที่ประดุจเครื่องมือ ประเมินผลพฤติกรรมของพยาบาลในการปฏิบัติวิชาชีพ โดยผู้ใช้บริการ ผู้ร่วมงาน ผู้เกี่ยวข้องทั่วไป และใช้ในการประเมินผลตนเอง
ผมมีเรื่องสงสัย...ขออนุญาตถามนะครับ
เมื่อหมอบอกว่าคนไข้รายนี้หมดทางรักษาแล้ว...อย่างมากก็แค่ประวิงเวลาไว้ และญาติคนไข้ก็ตกลงที่นำคนไข้กลับบ้าน...
การถอดเครื่องช่วยหายใจเป็นหน้าที่ของใครครับ หมอ พยาบาล หรือญาติคนไข้ครับ...
เพราะเคยเห็นกรณีหนึง...ญาติคนไข้ไม่กล้าถอดและพยาบาลก็ไม่ยอมถอดให้...
ผมว่าเป็นการลำบากใจนะครับถ้าจะให้ลูกถอดแล้วเห็นพ่อตายไปต่อหน้าต่อตาครับ...
ความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหานี้
น่าจะใช้วิธีการปรึกษากันและหาข้อสรุปที่ไม่ทำความลำบากใจให้กับทุกฝ่าย
โดยเคารพการตัดสินใจของญาติ ตามสิทธิผู้ป่วย
ส่วนใครจะถอดเครื่องช่วยหายใจนั้นควรเป็นแพทย์หรือพยาบาลไม่ใช่ญาติผู้ป่วย.......
ปัจจุบันแพทย์ซึ่เป็นผู้รักษาผู้ป่วยจะให้ข้อมูลเพื่อการตัดสินใจแก่ญาติแม้กระทั่งการฉีดยามอร์ฟืนเพื่อให้ผู้ป่วยตายอย่างสงบโดยญาติยินยอมเพราะการปล่อยให้ผู้ป่วยทรมานก่อให้เกิดความทุกข์อย่างมากแก่ญาติๆ อาจต้องเลือกดูแลด้านจิตใจคนเป็นด้วย ตามความต้องการและเลือกตัดสินใจของเขา สิ่งสำคัญคือข้อมูลและท่าทีของการสื่อสารที่แสดงเจตนาดีของแพทย์และพยาบาลจะลดข้อขัดแย้งได้ดีทีเดียว
ขอบคุณมากครับ...
ผมก็คิดเหมือนกันว่าน่าจะเป็นหน้าที่ของหมอหรือพยาบาลมากกว่า...
ขอบคุณอีกครั้งครับ...
ดิฉันมีเรื่องสงสัย....ขออนุญาตถามนะค่ะ
จากกรณีศึกษา...จะมีผู้ป่วยคนหนึ่งมาใช้บริการซึ่งพยาบาลก็ถามขึ้นมาว่าเป็นอะไร เคยมีบัตรหรือยัง ผู้ป่วยก็บอกว่ายังไม่มี พยาบาลจึงบอกให้ไปกรอกข้อความโดยชี้มือไปที่โต๊ะริมห้องโถงบริเวณที่รอตรวจและบอกว่าไปที่โต๊ะโน้นนะแล้วก็ไม่ได้อธิบายอะไร ผู้ป่วยไม่รู้จะทำอะไร เนื่องจากอ่านหนังสือไม่ออก เขียนก็ไม่ได้
....ดิฉันอยากทราบว่า การปฏิบัติของพบาบาลที่มีความสอดคล้องกับข้อปฏิบัติเชิงวิชาชีพตามเงื่อนไขทางจริยธรรมหรือไม่ อย่างไรค่ะ แล้วควรมีข้อพึงปฏิบัติอย่างไรบ้างค่ะ...ขอแสดงความนับถือนะค่ะ
การปฏิบัติของพบาบาลที่มีความสอดคล้องกับข้อปฏิบัติเชิงวิชาชีพตามเงื่อนไขทางจริยธรรมหรือไม่ อย่างไรค่ะ แล้วควรมีข้อพึงปฏิบัติอย่างไรบ้างค่ะ
จริยธรรมวิชาชีพมีข้อหนึ่งกล่าวว่า พยาบาลต้องทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วย จากกรณีศึกษาการกระทำของพยาบาลไม่เกิดประโยชน์แก่ผู้ป่วย ถ้าผู้ป่วยไม่ได้รับการตรวจโรคแล้วมีอาการป่วยรุนแรงขึ้นนับได้ว่าพยาบาลทำสิ่งที่เป็นอันตรายต่อผู้ป่วยปัญหาจริยธรรมที่เกิดขึ้นเพราะการสื่อสารของพยาบาลที่มีสาเหตุจากการไม่ไช่จิตเอื้ออาทรในการบริการ การให้ข้อมูลน้อยเกินไปไม่ตรงกับความต้องการของผู้ป่วยสามารถ แต่ตรงกับความรับผิดชอบของพยาบาลและระบบบริการของโรงพยาบาล ผู้ป่วยไม่รู้จะทำอะไร เนื่องจากอ่านหนังสือไม่ออก เขียนก็ไม่ได้ พยาบาลต้องเพิ่มทักษะการให้บริการโดยการมีจิตอาสาและช่วยเหลือ ควรสังเกตว่าผู้ป่วยต้องการความช่วยเหลืออะไรเพิ่มเติมหรือถามว่า "ต้องการให้ช่วยเหลืออะไรอีกไหมคะ" น่าจะมีคำพูดติดปากพยาบาลว่า"ต้องการให้ช่วยเหลือเรื่องอะไรไหมคะ" เหมือนพนักงาน 7-11 ที่ถามว่า "จะรับซาละเปาเพิ่มไหมคะ" แต่พยาบาลจะถามว่า"จะรับโรคอะไรเพิ่มไหมคะ" คงจะไม่ดี จริงไหมคะ (มีอารมณ์ขันวันละนิดจิตแจ่มใส) ครูยินดีให้บริการวิชาการคะ
อยากทราบข้อมูลดังนี้
บทนำเรื่องจรรยาบรรณวิชาชีพพยาบาล
กฎหมายวิชาชีพพยาบาลที่เกี่ยวข้อง
ข้อดี ข้อเสีย
ทุกอย่างที่เกี่ยว กับจรรยาบรรณวิชาชีพพยาบาล
กรุณาติดต่อกลับที่เบอร์ 0871025724
หลังส่งข้อมูลให้เรียบร้อย
ภายในวันที่ 5 ตุลาคม 2551