แววตาของญาติ แสดงออกถึงความกลัว ทักทายด้วยเสียงสั่นๆ คุณศิริรัตน์จึงเริ่มด้วยการแนะนำตัวเอง เพื่อสร้างความคุ้นเคยและลดอาการสั่น ก่อนที่จะถามถึงที่มาที่ไป
ญาติจึงเริ่มเล่าว่า
ขณะที่ตนนอนเฝ้าพี่ชาย ã ตามปกติ ประมาณ 6 โมงเช้า ได้มีพยาบาลมาปลุก บอกว่า “ จะเจาะเลือด ”
เมื่อเจาะเสร็จ ก็เอา หลอดเลือด ใส่ถุงซิปพลาสติก แถมใส่ น้ำแข็ง หยิบมือนึง แล้วส่งมาให้ พร้อมใบส่งตรวจ CD4 และใบส่งตัว โดยระบุที่ส่งต่อคือ บำราศฯ แต่กลับบอกให้ญาติเอาไปส่งที่ “สถาบันโรคทรวงอก”
แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคุณพยาบาล เข้าใจผิด หรือ หวังดี
กลัวว่าญาติจะไปไม่ถูก จึงบอกสถานที่ส่งเลือดผิดไป
พอฟังเสร็จ ก็เอาถุงเลือดใส่ถุงยาอีกที แล้วออกเดินทางที่เวลา 7 โมง โดยที่ในใจก็เริ่มสงสัย!?! เพราะจำได้ว่าหมอเคยบอกว่า ให้ส่งบำราศฯ
เริ่มจากโรงพยาบาล ต้องเข้าตัวจังหวัดก่อน เพื่อต่อรถ v ต่อไปยังอู่รถเมล์สาย 33 เพื่อข้ามเข้าสู่จังหวัดนนทบุรี ระหว่างทางกลัวว่าน้ำแข็งก้อนน้อยจะละลาย จึงแวะซื้อ น้ำแข็ง ข้างทาง
หลังข้ามจังหวัดมาแล้ว ก็ต้องนั่งรถสองแถวเข้าโรคทรวงอก
เมื่อรู้ตัวแล้วว่าไม่ใช่ เลยรีบซ้อน มอเตอร์ไซค์รับจ้าง บึ่งมาบำราศฯ
จนมากดบัตรคิวได้ที่เวลา 9.36 น.
โดยไม่รู้ตัวเลยว่าสิ่งที่ตนประคับประคองทะนุถนอมมาตลอดทางนั้น อานุภาพเปรียบได้ดัง อาวุธชีวภาพ ดีๆนี่เอง
ในทางปฏิบัติ จะมีเจ้าหน้าที่ขนส่งเลือดจากโรงพยาบาลเครือข่าย กว่าจะส่งเลือดกันได้นั้น ต้องห่อกันถึง 5 ชั้น ดังนี้
ชั้นที่ 1 นำหลอดเลือดใส่ซองพลาสติก แยก 1 หลอด / 1ซอง
เพื่อ ป้องกันการกระแทกกัน แตก
ชั้นที่ 2 เอาหลอดที่ห่อแล้วมามัดรวมกัน ห่อด้วยทิชชู
เพื่อ เป็นตัวดูดซับเลือดถ้าเกิดการรั่ว
ชั้นที่ 3 เอาถุงซิปพลาสติกใบใหญ่มาสวม
เพื่อ ถ้าเกิดรั่วจะได้แต่อยู่ในถุง ไม่กระเด็นไปสู่คนอื่น
ชั้นที่ 4 ห่อด้วยพลาสติกกันกระแทก
เพื่อ ลดแรงกระแทกไม่ให้ไปถึงหลอด ในกรณีรถเกิดอุบัติเหตุ
ชั้นที่ 5 ใส่กระป๋องพลาสติก
เพื่อ เป็นฉนวนกันความร้อนและเย็นจากภายนอก
และหุ้มทุกอย่างให้อยู่อย่างปลอดภัย
แล้วใส่ในกระติกน้ำแข็ง ที่มี ก้อนน้ำแข็งพลาสติก
ที่ต้องทำขนาดนี้ก็เพื่อ
1. รักษาอุณหภูมิขณะส่ง เพราะต้องรักษาอุณหภูมิตลอดการส่ง ให้ได้ประมาณห้องที่เปิดแอร์แรงๆ (16-22˚C)
2. ป้องกันหลอดเลือดแตก เพื่อป้องกันความเสี่ยงต่างๆ ที่เกิดจากการแพร่เชื้อสู่สาธารณะได้ (คนที่อยู่รอบข้างไม่ให้ติดเชื้อนี้)
เพราะสิ่งเหล่านี้สามารถควบคุมได้ หากมีมาตรการและใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสม และระบบการประสานงานระหว่างโรงพยาบาล และที่สำคัญที่สุดคือ ระหว่างบุคลากรทางการแพทย์กับผู้ป่วย เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่เหนือความคาดหมาย อย่างเช่นเรื่องนี้
........................................................................................................................................................... ต่อไปนี้จะถึงจุด Climax ของเรื่องนี้คือ “จะบอกญาติอย่างไร”
---โปรดรอพบกันกับตอนต่อไป---
บันทึกโดย ...Sunny... เด็กใหม่ ต.8/5
ชอบมากครับ ขอนำบทความนี้ไปเผยแพร่ ที่เว็บไซต์และจุลสารสมาคมเทคนิคการแพทย์ได้หรือไม่ครับ
ตอบเมล์กลับด้วยนะครับผม