เรื่องที่บันทึกนี้ ผมเล่าให้พ่อ..ช่วยพิมพ์ให้ครับ
ค่ำวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐ เวลา ๒ ทุ่มกว่า แม่ไปส่งผมที่ป้ายรถเมล์ในมน. พร้อมพ่อ..เรารอรถกันประมาณ ๔๐ กว่านาที รถเมล์มาตอน ๓ ทุ่มเศษ...ค่ารถ ๑๕ บาท เป็นรถไม่มีแอร์
เราไปลงรถที่ตลาดรถไฟตอน ๓ ทุ่ม ๔๐ เดินหาซื้ออาหารตุนไว้ เป็นข้าวเหนียวมะม่วง ๑ กล่อง และข้าวโพดต้ม ๑ ถุง
เราเข้าไปสถานีรถไฟพิษณุโลก ตอน ๓ ทุ่ม ๕๐ รถล่องไปกรุงเทพฯอยู่ชานชลาที่ ๒ ตามกำหนดเวลารถจะมาและออกตอน ๓ ทุ่ม ๕๘ นาที
เราอยู่โบกี้ที่ ๔ ตำรวจรถไฟให้ไปยืนรอที่จุดจอดหมายเลข 1...เรารอแล้วรออีกรถก็ยังไม่มา...มาช้ากว่ากำหนด ๒๕ นาทีได้..เราออกจากพิษณุโลก เกือบ ๔ ทุ่มครึ่ง
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมได้ขึ้นรถไฟ ตื่นเต้นเล็กน้อย..แม่เล่าให้ฟังว่า..ผมเคยขึ้นรถไฟไปเชียงใหม่ตั้งแต่อยู่ในท้องแม่..แต่นั่นไม่นับครับ
เราขึ้นไปโบกี้ที่ ๔ ซึ่งแบ่งเป็น ๒ ตอน เป็นที่นั่งชั้น ๓ ครึ่งโบกี้ และเป็นที่นั่งชั้น ๒ อีกครึ่งโบกี้ ผมได้เลขที่นั่ง ๓ ส่วนพ่อได้เลขที่นั่ง ๔..
เบาะของที่นั่งเอนอยู่ในท่านอน...นั่งสักพักก็มีพนักงานมาตรวจตั๋ว..ผมพยายามข่มตาหลับ...แต่พ่อหลับไปก่อนแล้ว ผมหลับๆ ตื่นๆ อยู่หลายครั้งด้วยความไม่เคย
ช่วงเช้ามืดตอนใกล้ๆ ตีห้า..เราก็มาถึงสถานีบางเขน จุดที่เราลงจากรถ อยู่หน้าสถานีราวๆ ๑๐๐ เมตร เราต้องย้อนกลับมาทำธุระส่วนตัวที่สถานี..หลังจากนั้นผมก็ทานอาหารเช้าเป็นข้าวเหนียวมะม่วง...ปกติผมไปโรงเรียน ผมทานอาหารเช้าประมาณ ๖ โมงเช้า...ตอนนั้นตีห้าครึ่งได้มั้ง ตอนที่ผมทานอาหารเช้า
ใกล้ ๖ โมง พ่อพาผมไปจับแท๊กซี่ (มิเตอร์) พ่อคุยกับโชเฟอร์ไปตลอดทาง..จนโชเฟอร์พาพ่อเลยกรมการกงสุลไปหน่อย...แต่โชเฟอร์ก็ไม่คิดค่ารถตามมิเตอร์หยุดไว้ที่ ๕๗ บาท แล้ววนมาส่งฝั่งตรงข้ามตรงปั้ม ESSO....ซึ่งเป็นผลดีสำหรับผม..ทำให้ผมได้นอนต่ออีกหน่อย
ผมได้นั่งเก้าอี้หน้าตลาด Lotus ในปั๊ม ESSO แล้วหลับไป ใกล้ ๗ โมงเช้า พ่อก็ปลุกผมข้ามสะพานลอยไป...พ่อถ่ายภาพให้ผม ๑ ภาพ
พ่อไปคุยกับตำรวจสันติบาลที่ดูแลจุดตรวจทางเข้า..พ่อถามได้ความว่า...เราสามารถเข้าไปในอาคารกรมการกงสุลได้ในเวลา ๗ โมงครึ่ง
เราไปต่อแถว..ได้กระดาษเล็กมาแผ่นหนึ่ง พ่อเขียนชื่อผมเป็นภาษาอังกฤษลงไป...พนักงานรปภ.มาตรวจกระเป๋าพ่อ พอได้เวลาประตูเปิด เราก็ขึ้นไปชั้น ๒ ไปรับบัตรคิว...พ่อยื่นบัตรประจำตัวพ่อ พร้อมสูติบัตรของผม
เราได้หมายเลข ๑๕ ไปนั่งรอสักครู่ คงไม่เกิน ๑๐ นาที..เขาเริ่มเรียกหมายเลขต่างๆ ไปพบเจ้าหน้าที่...เราได้เรียกเข้าไปพบเจ้าหน้าที่ ที่หมายเลข ๔๒...พนักงานบริการดีมาก ยกมือไหว้พ่อ..แล้วถามว่ามาติดต่อเรื่องอะไร..หลังจากนั้นก็บริการตามขั้นตอน
จำได้ว่าเขาให้ผมไปวัดส่วนสูง วัดได้ ๑๔๗ เซนติเมตร...จากนั้นเขาก็ให้ผมเอานิ้วชี้มือขวาวางไว้ที่เครื่องสแกนเนอร์ แล้วเปลี่ยนเป็นนิ้วชี้มือซ้าย...ตามด้วยให้ผมไปนั่งในช่องที่เขาจะถ่ายภาพด้วยกล้อง Digital...หลังจากจัดท่าทางเรียบร้อย เขาก็ถ่ายภาพผม ๑ ภาพ...ต่อจากนั้นเขาก็ตรวจนามสกุลผมกับพ่อให้ตรงกัน โดยไปค้นประวัติพ่อมา..บอกว่า Passport พ่อหมดอายุแล้ว หากมาทำใหม่แบบราชการ ต้องไปที่ฝั่งตรงข้าม (ในอาคารเดียวกัน)
ต่อจากนั้นเขาเอาเอกสารใส่แฟ้ม ซึ่งมีช่องให้ผมลงนาม เขาเอาปากกาดำเส้นใหญ่ๆ ให้ผมลงนาม..ผมต้องเขียนอย่างช้าๆ ให้หมึกติดชัดเจน (ผมมาเข้าใจตอนหลังว่า ขั้นตอนทั้งหมดนี้เขาเรียกว่าทำ E-Passport คือ เขาจะเก็บข้อมูลทั้งหมดของผู้ขอหนังสือเดินทางไว้ใน ไมโครชิพ ที่ฝังไว้ในปกหลังของหนังสือเดินทาง)
เขาบอกพ่อว่า เนื่องจากแม่ไม่ได้มาด้วย..ให้แม่มารับเล่มได้ไหม ถ้าไม่ได้ให้ไปทำหนังสือยินยอมที่อำเภอ เวลามารับเล่มพ่อมาคนเดียวได้ แต่ต้องมีหนังสือยินยอมจากแม่และมีบัตรประจำตัวตัวจริงของแม่มาแสดงด้วย....เขาฝากตัวอย่างหนังสือยินยอมมากับพ่อด้วย
หลังจากนั้น เราก็ไปช่องจ่ายเงิน จ่ายเงินไป ๑,๐๐๐ บาท ได้ใบเสร็จและใบรับเล่มมาพร้อม...แล้วเราก็เดินทางกลับ
ขากลับพ่อพาขึ้นแท๊กซี่ ไปที่สถานีขนส่งหมอชิต ๒ เราได้ขึ้นรถทัวร์กลับตอน ๑๐ โมงเช้า...ถึงพิษณุโลกตอน บ่ายสามครึ่ง...
รวมเวลาที่เราใช้ไปในการทำ Passport ทั้งหมดกว่า ๑๘ ชั่วโมง (ตั้งแต่ออกจากบ้าน จนเข้าบ้านอีกครั้งหนึ่ง และผมต้องโดดเรียนหนึ่งวัน)
ไม่มีความเห็น