หลังมื้อเที่ยงสิ้นสุดลง ท่าน ผอ. เม็กดำ ได้อาสานำพาหนะคู่ชีพสัญจรพาเราเข้าสู่ชุมชนเพื่อเรียนรู้ “สถานีชีวิต” ที่อยู่ตามหมู่บ้าน ท้องทุ่งและลำน้ำ โดยมีปราชญ์ชาวบ้านอีก 2 ท่านร่วมขบวนชีวิตไปด้วยกัน โดยสถานีแรกที่ที่เราได้สัมผัสเรียนรู้นอกรั้วโรงเรียนก็คือ “ธรรมาสน์เสาเดียว” อันเก่าแก่ในวัดประจำหมู่บ้านเม็กดำ
เท่าที่พูดคุยกันแต่เพียงสังเขป พอรับรู้ได้ว่าธรรมาสน์เสาเดียวถูกสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2491 ทำขึ้นจากไม้มะค่าแต้ ฝังเสาลึกตรงกลางศาลาวัด (หอแจก) และส่วนบนโผล่พ้นขึ้นมาบนศาลา ส่วนบนของธรรมาสน์ถักสานด้วยไม้ไผ่และยังคงสภาพเดิมอย่างน่าพิศวง เดิมยืนยันว่าธรรมาสน์เคยมีบันได 3 ขั้น แต่บัดนี้ได้สูญหายไปแล้ว
ที่น่าแปลกใจและน่าสนใจก็คือ โดยทั่วไปแล้วธรรมาสน์มักจะมี 4 เสากันทั้งนั้น และเท่าที่เคยได้ฟังได้รู้ก็พอเข้าใจว่าธรรมาสน์เสาเดียวก็มีอยู่เพียงไม่กี่แห่งเท่านั้น
แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าธรรมาสน์เสาเดียวที่เราได้สัมผัสเรียนรู้ที่นี่นั้นสภาพเริ่มทรุดโทรมไปบ้างแล้ว ลวดลายจิตรกรรมบริเวณเสาและตัวธรรมาสน์เลือนลบไปอย่างน่าใจหาย
กระนั้นเราก็ไม่สิ้นหวังเมื่อรับรู้ว่าคณะครูเม็กดำและชุมชนกำลังหารือถึงแนวทางการบูรณะและสืบเค้ารูปรอยเดิมของธรรมาสน์ ซึ่งอาจต้องระดมกำลังพลจากส่วนราชการและปราชญ์ชาวบ้านอีกหลายยก รวมถึงการใช้เวลาอีกยาวนานไม่น้อยในการอนุรักษ์และพลิกฟื้นในเรื่องดังกล่าว
จากนั้นคณะเราก็มุ่งตรงไปยัง “ลำพังชู” สถานีชีวิตของเกษตรกรที่เปิดเป็น “ห้องเรียนชีวิต” หรือสถานีชีวิตให้นักเรียนได้ลงแรงกายและแรงใจเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ชีวิตตามแนวเกษตรพอเพียง
ลำพังชู เป็นลำน้ำแคบ ๆ และลึกใส มีกอไผ่และแมกไม้โรยตัวรกครึ้มเป็นทางยาวไปตามลำห้วย ลำน้ำนี้ขั้นเขตระหว่างมหาสารคามกับบุรีรัมย์ รวมถึงบางส่วนของสุรินทร์ และถือเป็นสายน้ำแห่งชีวิตของคนที่นี่ เพราะชาวเม็กดำทั้งหลายต่างพึ่งพิงลำพังชูในการเพาะปลูก หาปลา เลี้ยงสัตว์และหล่อเลี้ยงชีวิตสืบมาชั่วนาตาปี
หลายท่านเล่าให้ฟังว่า แปลงเกษตรเหล่านี้เป็นสถานีแห่งการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างนักเรียนกับชาวบ้าน ซึ่งทุก ๆ สัปดาห์นักเรียนในแต่ละชั้นจะมาเรียนรู้วิถีการทำนา ทำสวนกันที่นี่ เป็นการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม โดยนักเรียนจะต้องฝึกปฏิบัติจริงด้วยการจับจอบ จับเสียม คลุกโคลนเพาะปลูกพืชพันธุ์ต่าง ๆ ร่วมกับเจ้าของสวน และแต่ละสวนก็จะมีกลวิธีภูมิปัญญาที่แตกต่างกันไป ยังผลให้นักเรียนได้ซึมซับศาสตร์แห่งการเพาะปลูกที่หลากหลาย
และเป็นที่น่าภูมิใจก็คือ นักเรียนจำนวนไม่น้อยสามารถนำความรู้จากครูชาวบ้านไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน และผลแห่งการสัมผัสลึกในวิถีเกษตรกร ส่งผลให้บางคนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจากการ “ไม่เอาเวียก” (ไม่ชอบทำงาน) ไปสู่การ “เฮ็ดเวียกบ้าน” (ช่วยงานบ้าน) ของพ่อและแม่ได้อย่างน่าทึ่ง !
ผมอยากจะเรียกที่นี่ว่า สถานีชีวิต ห้องเรียนชีวิต หรือแม้แต่ห้องเรียนธรรมชาติ..
การเรียนการสอนของที่นี่ เป็นการนำพานักเรียนคืนกลับไปสู่ธรรมชาติ คืนกลับไปสู่วิถีดังเดิมของสังคมไทยในชนบทที่อิ่มสุขอยู่กับความพอเพียง และถึงแม้ทุกวันนี้ กระแสอันเชี่ยวกรากของทุนนิยมจะแผ่ไพศาลไปทั่วทุกหัวระแหง แต่สถานีชีวิตเหล่านี้ก็ยังยืนหยัดเป็นประจักษ์พยานของการอยู่รอดอย่างมีความสุข เรียบง่าย สมถะ...และแบ่งปันอย่างไม่รู้จบ
วันนี้, หรืออาจจะนานมาแล้ว ลำพังชู.. ได้กลายเป็นสายน้ำแห่งชีวิต .. และแปลงเกษตรก็กลายเป็นสถานีชีวิตด้วยเช่นกัน ขณะที่ข้าวโพดชูใบระบัดเขียวเป็นระนาบยาว พลิ้วไหวไปกับสายลมและสายน้ำ กอไผ่ผสานเพลงไผ่ผ่านสายลมมาเป็นระยะ ท้องน้ำเคลื่อนตัวอย่างต่อเนื่องเป็นจังหวะ ทุกอย่างสอดรับกันอย่างลงตัวเพื่อบอกให้รู้ว่า ที่ตรงนี้ คือสถานีชีวิตการเรียนรู้ของคนต่างวัยในบ้านเม็กดำ
ถัดจากสถานีชีวิตใกล้ลุ่มน้ำ, เรามีโอกาสไปเยี่ยมชมสถานีชีวิตในที่ดอนกันบ้าง พบเห็นพื้นที่ของการเตรียมการเป็นสวนสมุนไพร รวมถึงแปลงผักสวนครัว พริก หอม กระเทียม มะเขือพวง มะเขือเทศ สวนกล้วย ต้นขนุนที่ถูกปลูกไว้ในพื้นที่อันเล็กแคบ บางสถานีมีสระน้ำเล็ก ๆ ไว้สำหรับรดน้ำพืชผักและเลี้ยงปลา
สถานีเหล่านี้, ผมมองเห็นความหนาแน่นรกรุงรังของพืชพันธุ์ที่เกี่ยวข้องกับปากท้องของคนเราอย่างสนิทแน่น เป็นความรกรุงรังอย่างเป็นธรรมชาติที่ไม่จำเป็นต้องตกแต่ง หรือจัดระบบระเบียบใด ๆ ให้กับพืชพันธุ์เหล่านี้เลยแม้แต่น้อย
จากท้องน้ำลำห้วยมาสู่สถานีชีวิตในที่ดอน ผมเห็นภาพความพอเพียงของชีวิตที่ชัดเจน เห็นภาพวิถีวัฒนธรรม “กินปลาเป็นหลัก กินผักเป็นพื้น” อย่างแจ่มชัด
นี่คือสถานีชีวิตนอกรั้วโรงเรียน หรือห้องเรียนชีวิตและห้องเรียนธรรมชาติที่น่าอัศจรรย์ใจของชาวเม็กดำ เป็นห้องเรียนที่สะท้อนให้ถึงความกล้าคิด กล้าทำของครูและปราชญ์ชาวบ้านที่มุ่งหวังให้ลูกหลานได้เรียนรู้และเติบโตอย่างมีคุณค่า พร้อมทั้งการปลูกจิตสำนึกที่ดีในการรักบ้านเกิดให้กับนักเรียนได้อย่างแยบยล
ไม่เพียงแค่นี้หรอก,...สถานีเหล่านี้ยังเป็นลานเล่านิทานจากคนเฒ่าคนแก่ถึงลูกหลาน และเป็นนิทานที่เกี่ยวกับคติธรรม, ตำนานบ้าน ตำนานเมือง และอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งผู้เล่าต่างก็ต้องเตรียมการสอนมาอย่างดีราวกับครูในโรงเรียนที่เตรียมการสอนในวิชาต่าง ๆ อย่างรอบคอบ
“หนูรักที่นี่ เพราะที่นี่คือบ้าน และที่นี่คือโรงเรียน .. หนูไม่กลัวความยากจน เพราะหนูเกิดมาจากความยากจน”.. เด็กหญิงลูกหลานของชาวเม็กดำคนหนึ่งพูดกับผมเช่นนั้น !
วิถีชิวิตของชาวบ้าน เป็นวิถีทางธรรมชาติ ดูแล้วเรียบง่ายมีความสุขแบบง่ายๆ....แต่เราเอาความสุขแบบชาวเมืองไปจับ เร่งจะพัฒนาให้เป็นชาวเมือง จึงทำให้วิถีชิวิตของชาวบ้านในชนบทเกิดปัญหา...รึปล่าวค่ะ
การเดินท่อมๆกลางแดด จึงทำให้คุณหนิงป่วยรึปล่าวค่ะ....ปานนี้เป็นไงบ้างแล้วหนอคนป่วย....
อ่านก็เหมือนได้ฟังอ เล่า
ดูภาพก็ได้เหมือนได้รู้สึกจริง ถึงไอแดด ระอุร้อน ได้กลิ่นดิน กลิ่นผัก หญ้า
มีชิวิตจริง ๆ
คุณBright Lily |
อ. ก้านแสด |
อ. อัมพร |
อ. Panda |