สืบเนื่องจากที่ดิฉันเคยเล่าไว้ในบันทึกเมื่อครั้งก่อน (ดูที่ บันทึก
บทบาทของผู้สนับสนุน วันที่ 10ตค.) ปรากฎว่าคุณหมอหัวหน้าโครงการ(สมมุติชื่อ ก.)ไปถามลูกทีมให้มารับบทหัวหน้าโครงการไม่ได้เลย จะขอยุติโครงการ ส่งคืนทุน เพราะคุณหมอเองมีแนวโน้มจะลาออกจากราชการด้วย ก็ไม่อยากมีอะไรผูกพันไว้ ดิฉันคิดอยู่หลายตลบ ปรึกษาคุณหมอสมศักดิ์(พี่เลี้ยง)ว่าจะทำอย่างไรดี คุณหมอก็แนะนำว่าก็ให้คุยกับคุณหมอ ก.ว่าเขาทำต่อได้ ถึงแม้จะลาออกราชการ โดยเราจะช่วยเจรจากับต้นสังกัดใหม่ ให้ได้ประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย ดิฉันไปปรึกษาหัวหน้าดิฉันด้วยคืออ.ทวี โชติพิทยสุนนท์ ท่านก็บอกว่า ถ้าเราคืนทุนไป มีผลเสียแน่นอนทั้งต่อสถาบันของเราเองและสถาบันของคุณหมอ ก.ท่านนั้น ให้ลองไปคุยดูใหม่ ดิฉันจึงไปคุย เล่าให้หัวหน้าแผนกของคุณหมอ ก.ฟัง และถามความเห็นว่าถ้าเรายุติโครงการนี้และคืนทุน อาจารย์ท่านมีความเห้นอย่างไร ยินดีให้เราคืนหรือไม่ ผลก็คืออาจารย์เห็นว่าเป็นเรื่องเสียหายต่อหน่วยงานของคุณหมอ ก.มากไม่เฉพาะแต่ตัวคุณหมอก. เท่านั้น ท่านหัวหน้าจะเรียกคุณหมอ ก.มาคุย ถ้าคุณหมอ ก.ยืนยันจะวางมือ ท่านหัวหน้าก็จะรับมาทำเอง หรือหาคุณหมอท่านอืนๆในแผนกมาทำ ผลการหารือระหว่างคุณหมอ ก.และหัวหน้าได้ข้อสรุปว่า คุณหมอ ก.จะไปคุยกับคุณหมอ ข.ตามคำแนะนำของหัวหน้า เพื่อมารับเป็นหัวหน้าโครงการต่อ และคุณหมอ ก.ก็จะเป็นผู้ร่วมวิจัย ช่วยหาทีม/รวมทีมใหม่ทั้งนักจิตวิทยาคนใหม่ มาร่วมทีม เรามีการประชุมร่วมระหว่าง 2 สถาบันโดยมีหัวหน้าแผนกของทั้ง 2 สถาบันมาร่วมรับทราบถึงการเปลี่ยนแปลงและข้อตกลงใหม่นี้ ล่าสุดนี้เมื่อสัปดาห์ก่อน ทราบว่าคุณหมอ ก.ได้อาจารย์(ดร.)ทางพยาบาลท่านหนึ่งและดร.ทางจิตวิทยาซึ่งเป็นเพื่อนกับอาจารย์พยาบาลมาร่วมทีม ซึ่งทั้งสองยินดีเป็นอย่างยิ่งกับการร่วมงานนี้เพราะตรงใจพอดี และเตรียมดำเนินการวิจัยร่วมกับทีมเดิมต่อไปโดยมีคุณหมอ ข.เป็นหัวหน้าโครงการคนใหม่ และคุณหมอ ก.เป็นผู้ร่วมวิจัยไปถึงแม้จะลาออกไปก็ตาม
บทบาทการเป็นผู้จัดการแบบนี้ต้องประสานงานกับผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย จนพบทางออก ต้องใช้ทั้งพรหมวิหาร 4 จนถึง อิทธิบาท 4 เลยค่ะ แต่เมื่อลงเอยด้วยดีก็รู้สึกสุขใจ