โดยพื้นฐานสังคมตะวันออก เราไม่นิยมการแสดงออก โดยเฉพาะการแสดงความรักต่อกัน เราจึงไม่ค่อยเห็นพ่อแม่กอดลูก หรือคนรักเดินจูงมือโอบกอดกันในที่สาธารณะ ดังนั้น เมื่อวัฒนธรรมวันวาเลนไทน์เข้ามา การแสดงออกโดยการมอบดอกกุหลาบหรืออื่นๆ จึงถูกมองว่าเป็นเพียงการแสดงออกที่ฉาบฉวยของวัยรุ่น หรือ เป็นเรื่องของการค้า
ในฐานะครูบาอาจารย์ (ที่มีหน้าที่ตามพันธกิจข้อที่ 7 ตามที่ทางการเขาระบุไว้ แถมเป็นหลักเกณฑ์ในการประเมินคุณภาพ คือ (7) ทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม) มุมมองต่อเรื่องการแสดงออกในวันวาเลนไทน์จึงค่อนไปทางฐานคิดเดิม โดยอ้างความเชื่อที่ว่า คนเราสามารถมีความรักและความปรารถนาดีให้กันได้ทุกวัน การแสดงความรักในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ จึงไม่มีความหมายใดๆ
แต่ปีนี้ มีอะไรบางอย่างที่ทำให้เราคิดเห็นเปลี่ยนไป... ภายใต้ความวุ่นวายของชีวิตและการงาน ...
การได้รับความรู้สึกดีๆในวันแห่งความรัก มีความหมายไม่น้อย (แม้ว่าจะเป็นการบังเอิญที่ข่าวคราวจากลูกศิษย์และลูกสาว มาถึงเราในวันวาเลนไทน์พอดี.. โดยไม่ตั้งใจ)
เราอยากคิดใหม่ และบอกนักศึกษาว่า การแสดงออกซึ่งความรักและความระลึกถึงกัน (ภายใต้ขอบเขตที่เหมาะสม) แท้จริงเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรจะละเลยหรือมองข้าม หากเราไม่มีโอกาสได้แสดงออก อย่างน้อยสักครั้งในหนึ่งปีก็ควรจะหาโอกาสนั้น กำลังใจมหาศาลมาจากถ้อยคำสั้นๆที่จริงใจ ความรักยังเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่เสมอ
ไม่มีความเห็น