เริ่มตั้งแต่ยุคแผนพัฒนาฯ ในปี ๒๕๐๔ ที่ทำให้ผู้ใหญ่ลี ต้องไปตีกลองประชุม และเกิดความสับสนว่าประเทศกำลังจะพัฒนาอะไร
ผมเข้าใจว่า ผู้ใหญ่ลีน่าจะเป็นสัญลักษณ์ของระบบราชการ ไม่ใช่ผู้นำชุมชน
เพราะขนาดแสดงความเปิ่นได้ขนาดนั้น ไม่ใช่ผู้นำชุมชนแน่นอน แต่คนแต่งเพลงอาจกลัวถูกสั่งห้ามเผยแพร่ ก็เลยแปลงโฉมให้มาเป็น “ผู้ใหญ่” ที่น่าจะไม่มีตัวแทนที่ไหนไปฟ้อง ประเด็นนี้ไว้หาโอกาสคุยกันวันหลังนะครับ
การที่ผู้ใหญ่ลี แจ้งว่า
“ทางการเขาสั่งมาว่า ให้ชาวนาเลี้ยงเป็ด และสุกร”
จนมาตอบคำถามว่า
สุกร แปลว่า “ลูกหมา” ที่อาจสะท้อนถึงความคิดแบบตีความ ว่าเรื่องง่ายๆ อาจพูดได้ว่าเป็นเรื่อง ระดับ “ลูกหมา” หรือ ระดับ “หมูๆ” ที่เขียนให้เพราะๆว่า “สุกร”
(หมาน้อย ในภาษาอีสาน ที่แปลว่า “ลูกหมา” แต่ไม่แปลว่า หมามีอยู่ไม่มากนั้น ผมไม่สามารถเขียนเป็นภาษาเขียนได้ ให้ต่างกันได้ เลยขอใช้ “ลูกหมา”แทน ขอโทษด้วยครับ)
ผมมานั่งไล่เรียงดูแล้ว เกือบ ๕๐ ปีผ่านไป เพลงแห่งการประชดประชันระบบราชการ ก็ยังไม่ล้าสมัย และมีผลอยู่จนถึงปัจจุบัน
แต่แปรรูปเป็นคำที่คล้ายคลึงกัน เช่น การขยายฐานการผลิต การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เกษตรผสมผสาน วนเกษตร เกษตรยั่งยืน เกษตรปลอดภัย เกษตรอินทรีย์ คุณภาพชีวิต ชุมชนเข้มแข็ง และ สุดท้ายก็คือ การจัดการความรู้ และ ฯลฯ
คำเหล่านี้เป็นที่ใช้เป็นคำโฆษณา ชวนเชื่อ และโอ้อวดว่าเป็นคำใหม่ ทันสมัย
เช่นเดียวกับคำว่า “สุกร” ที่เป็นคำสมัยใหม่
ที่ “ผู้ใหญ่ลี” ก็ เข้าใจว่าไม่ใหม่ แต่ ก็ไม่แน่ใจว่าแปลว่า อะไร จึงแปลออกไปเป็น “ลูกหมา” ที่ชาวบ้านเลี้ยงกันอยู่แล้ว ที่(อาจจะ) แกมดูถูก “ฝ่ายบริหาร ด้วยซ้ำว่า แค่ลูกหมา ก็ต้องมาสั่งให้เลี้ยง
อุปมาอุปไมย ครับ
คำว่า การจัดการความรู้ก็กำลังอยู่ในกระแสว่าเป็นคำใหม่ แต่ความจริงไม่ใหม่ เก่ามาเป็น พันล้านปีมาแล้ว
· สิ่งมีชีวิต “จัดการความรู้” สั่งสมประสบการณ์ ไว้ใน DNA จนมาเป็นสิ่งมีชีวิตที่ก้าวหน้าด้าน “ความรู้” ในปัจจุบัน
· คนไทยโบราณ “จัดการความรู้” จับช้างป่า มาใช้งาน เอาควายมาไถนา เอาวัวมาลากเกวียน เอาม้ามาขี่ เอาหมูมาเลี้ยงเป็นสัตว์ “น้ำมัน” มาตั้งนาน ก่อนที่คนทั่วไปจะรู้ว่าตัวหนังสือคืออะไร
แล้วทำไม เราจึงคิดว่า การจัดการความรู้เป็นเรื่องใหม่
สาเหตุที่สำคัญที่ผมลองเดาดูนะครับ
· ก็แบบเดียวกับการเลี้ยงหมูของผู้ใหญ่ลี ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เมื่อมีคนดัดจริต ไปใช้คำว่า “สุกร” กับชาวบ้านขึ้นมา ก็เลยเป็นเรื่องใหม่ สำหรับชาวบ้าน
· และเป็นเรื่องใหม่สำหรับระบบราชการ และฝ่ายแผน ที่ไม่เคยรู้ว่าชาวบ้านนั้นเลี้ยง “สุกร” กันแทบทุกครัวเรือนอยู่แล้ว
ผมจำได้ว่า ในสมัยเด็กๆนั้น ทุกหลังคาเรือน จะมีหมูอย่างน้อย ๑ ตัว เสมอ ไว้กินรำและปลายข้าว จากการสีและตำข้าวไว้รับประทานในทุกครัวเรือน จะโรยให้ไก่ ก็ไม่จำเป็น เพราะไก่หาคุ้ยเขี่ยกินแมลงได้เอง
ดังนั้น แผนการเลี้ยงหมูจึงน่าจะเป็นตลกล้อเลียนภาครัฐมากกว่า
วันนี้ เรามี
การจัดการความรู้ ที่กำลังจะเป็นเรื่องตลก ทั้งในระบบราชการ นักวิชาการ และระบบชุมชน ทั้งๆที่ทุกคนก็ทำอยู่แล้ว แบบKMธรรมชาติ
ทำไมเราไม่นำ KMธรรมชาติ มาแจง หาข้อเด่นข้อด้อย เพื่อการพัฒนาต่อยอดในด้านต่างๆ แต่กลับทำเสมือนหนึ่งเป็นคำใหม่ มาให้คนตกอกตกใจ ชักดิ้นชักงอ ตายไปหลายคนแล้วครับ
หรือ เราก็จะทำให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเหมือนคำว่า “สุกร” ครับ
ขอบคุณครับที่เข้ามาต่อยอดครับ
พ.ศ.2504 เป็นปีที่ประเทศไทยประกาศใช้ แผนพัฒนาการเศรษฐกิจ(ฉบับแรก) เป็นความฉับไวของการสั่งการของนายอำเภอสั่งไปกับผู้ใหญ่บ้านครับ ผู้ใหญ่บ้านก็ต้องมีแผนพัฒนาหมู่บ้านด้วยครับ
สมัยก่อนการสื่อสารช้า แต่สั่งการเร็ว ปัจจุบันสื่อสารได้ฉับไว แต่สั่งการได้ช้ามาก เพราะต้องโยนหินถามทางก่อนตั้งหลายก้อน
คุณไชยยงค์
ไม่ทราบพอจะเหลือหินสัก สองสามก้อนไหมครับ ผมโยนจนหมดแล้วยังหาทางไม่เจอเลยครับ
สมัยก่อนเขาโยนหิน
สมัยนี้ เขาโยนความรับผิดชอบ ครับเล่าฮู
เคยเจอคล้ายๆกรณี "ผู้ใหญ่ลี" สมัยนี้ด้วยค่ะ
เมื่อปีที่แล้ว ลงไปสังเกตุการณ์ประชุมหมู่บ้านแห่งหนึ่งในจังหวัดภาคใต้
ผู้ใหญ่บ้าน หยิบจดหมายของทางอำเภอมาอ่านให้ลูกบ้านฟัง ทำนอง "ทางการเขาสั่งมาว่า ใครมีสัตว์ป่าในครอบครองให้ไปแจ้งทางอำเภอ มิฉะนั้นจะมีความผิด"
ชาวบ้านก็ลุกมาถามว่า "สัตว์ป่า แปลว่าอะไร นกเขา นกกรงหัวจุก ที่เขาเลี้ยงกันอยู่ทั้งหมู่บ้าน เป็นสัตว์ป่า หรือไม่"
ผู้ใหญ่บ้านคนนี้ ดีกว่าผู้ใหญ่ลี ตรงที่ท่านยอมรับตามตรงว่า "ไม่รู้เหมือนกันว่า สัตว์ป่าที่ว่าแปลว่าอะไร จะไปถามอำเภอให้"
สี่สิบปีผ่านไป ประเทศไทยก็ยังปกครองแบบรวมศูนย์ที่ "ทางการเขาสั่งมาว่า" อยู่ดี
อาจารย์ ปัทมาวดี
ผมสงสัยจะได้ประเด็นไปคุยในวันที่ ๒ มีนาคม ในหัวข้อ KM research
ขอบคุณครับ
ด้วยความยินดีครับอาจารย์หนิง
ขอบคูณสำหรับทุกอย่างที่ช่วยเหลือครับผมและครอบครัวครับ ประหยัดเวลาไปได้มากครับ