“ผู้ทำบาปกรรมนานัปการ ย่อมเศร้าโศกในที่นี้จากไปแล้วก็เศร้าโศก อยู่ที่ไหนก็เศร้าโศกเขาเศร้าโศก เขาเดือดเนื้อร้อนใจเพราะอะไร.. <p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: center" class="MsoNormal" align="center">เพราะเห็นบาปกรรมเศร้าหมองของตนนั่นเอง”</p> <p style="text-justify: inter-cluster; margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: justify" class="MsoNormal" align="justify"> ขึ้นชื่อว่าผลของบาปไม่ต้องรอถึงชาติหน้า อันที่จริงส่งผลตั้งแต่ก่อนลงมือกระทำด้วยซ้ำไป คำว่า ”บาป” หมายถึง การกระทำชั่วหยาบทั้งหลายทั้งปวง ได้ในคำว่า “บาปกมฺมํ” หรือที่เราพูดกันว่า “บาปกรรม” </p> <p style="text-justify: inter-cluster; margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt; text-align: justify" class="MsoNormal">ก่อนที่เราจะลงมือกระทำ เราวางแผน คิด ใคร่ครวญในแผนการนั้นๆ ความคิดเหล่านี้เรารู้อยู่ตลอดเวลา เราไม่เคยสบายใจกับสิ่งที่จะกระทำ กลัวคนโน้นเห็น คนนี้จะจับได้ กลัวจะมีหลักฐานเหลืออยู่ แต่เราก็พยายามกระทำมัน ความพยายามในสิ่งที่เป็นกุศลถือเป็นมงคลกับชีวิต แต่ความพยายามเช่นนี้ไม่เป็นมงคลชีวิตแต่ประการใด เพราะก่อนทำ ขณะทำ และหลังทำ ล้วนให้เกิดความหวาดกลัว ระแวง สงสัยทั้งสิ้น อาการเช่นนี้คืออาการที่ไม่เป็นสุข ยิ่งหลังทำสำเร็จด้วยแล้ว ยิ่งจะได้รับผลของบาปกรรมนั้นๆ จะนอนแต่ละทีมันยากนักกับการหลับตาลง หลับตาคราใดก็เห็นการกระทำบาปที่ตนกระทำลงไป อยู่ที่บ้านก็เกรงว่าใครจะมาตามล่าตามล้าง หนีออกจากบ้านไปอยู่ต่างแดน ก็กลัวว่าเขาจะติดตามมา จะกินหาอาหารในร้านตลาดก็กลัวว่าใครจะมาเห็น ต้องคอยหลบๆ ซ่อนๆ มิได้อยู่เป็นสุข ดังนั้นท่านจึงกล่าวว่า ผู้ทำบาปกรรมนานัปการ ย่อมเศร้าโศกในที่นี้ จากไปแล้วก็เศร้าโศก อยู่ที่ไหนก็เศร้าโศก เขาเศร้าโศก เขาเดือดเนื้อร้อนใจเพราะอะไร..เพราะเห็นบาปกรรมเศร้าหมองของตนนั่นเอง” ด้วยเหตุนี้เอง ผู้รู้จึงมักสอนว่า “บาปกรรมทั้งหลายไม่ทำเสียเลยนั้นแหละดี หากจำเป็นต้องทำ พึงทำแต่เพียงน้อยนิด” </p> บาปกรรมเหล่านี้ ต่างจากความดี กล่าวคือ ความดีที่ทำลงไปแล้วนั้น นึกขึ้นเมื่อไรให้สบายใจ เบิกบานใจเมื่อนั้น ดังนั้น เราไม่ควรทำบาปกรรมใดๆเลยแม้แต่น้อย เพราะทำไปแล้วมีแต่จะเสื่อมเสียทั้งผู้ทำ วงศ์ตระกูล และบุคคลที่ไปมาหาสู่กัน
ชอบอ่าน " ธรรมหน้าเดียว " จังคะ
อ่านแล้วได้ข้อคิดดีๆ ตอนเช้า